ยูนิลีเวอร์ (Unilever) หนึ่งในผู้ให้บริการสินค้าอุปโภค-บริโภคยักษ์ใหญ่ของโลก ที่อยู่ในตลาดเมืองไทยมากว่า 90 ปี มีสินค้ามากกว่า 30 แบรนด์ โดยมีแบรนด์ที่รู้จักกันดีอย่าง ซันไลต์,สบู่ลักส์,ไอศกรีมวอลล์ ,ซันซิล, พอนด์ส และโดฟ เป็นต้น
เบื้องหลังความสำเร็จของ “ยูนิลีเวอร์” นอกจากเรื่องจำนวนสินค้าคุณภาพที่ครอบคลุมในทุกช่วงชีวิตประจำวันแล้ว คือเเรื่องของวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับรูปแบบการทำงานเพื่อเพิ่มศักยภาพของบุคลากรให้มากที่สุด โดยมีการปรับรูปแบบการทำงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์และปัจจัยรอบด้านให้มากที่สุด
จากจุดเปลี่ยนสำคัญหลังการเกิดโควิด-19 ที่มีการปิดออฟฟิศ ให้มีการทำงานที่บ้านหรือรูปแบบ Work From Home บริษัทกลับพบว่าผลงานไม่ได้ลดลง ทำให้เกิดเป็นนโยบายการปรับรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid Working ขึ้นในองค์กร โดยมีนโนบายให้พนักงานสามารถเลือกเวลาทำงานที่ไหนก็ได้ 40% ของเวลาทำงานซึ่งจะทำให้พนักงานเข้าออฟฟิศมาทำงานเพียง 2 วันเท่านั้น จากเวลางาน 5 วัน
เพื่อตอบสนองนโยบาบดังกล่าวยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย ได้มีการใช้งบประมาณกว่า 30 ล้านบาท กับเวลากว่า 4 เดือนในการรีโนเวต พัฒนาเป็น Unilever House โฉมใหม่ที่ปรับให้ทันสมัย สู่รูปแบบ Hybrid Working รองรับการทำงานยุคใหม่ ซึ่งเป็นการปรับโฉมจากตึก Unilever House ในย่านพระราม 9 ที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2014 โดยเน้นการออกแบบให้ครอบคลุม เพื่อซัพพอร์ตความต่างของแต่ละบุคคลให้สามารถเข้ามาทำงานและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้ สู่โฉมใหม่ภายในให้เป็น Hybrid Working รองรับ Future of Work ในอนาคต โดยให้ความสำคัญกับการทำงาน 3 ประการ ได้แก่ งาน,วิธีการทำงาน และสถานที่ทำงาน
ภายใน Unilever House แห่งนี้ แบ่งพื้นที่ออกเป็น พื้นที่ทำงาน 50% พื้นที่ห้องประชุม 40% พื้นที่ผ่อนคลาย (รีแล็กซ์) 10% ซึ่งเป็นรูปแบบที่ปรับให้เหมาะสมกับคนทำงานมากที่สุด การปรับโฉมใหม่ของอาคารสำนักงานและรูปแบบการทำงานดังกล่าวเริ่มถูกนำมาพัฒนาอย่างจริงจัง หลังการระบาดของโควิด-19
ทั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อตอบโจทย์ 4 หลักการพื้นฐานสำคัญในการปรับปรุงออฟฟิศยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย
- Inclusive by design:การเป็นหนึ่งเดียวผ่านการออกแบบ โดย U-House จะสนับสนุนความแตกต่างของพนักงาน ด้วยการมอบประสบการณ์ที่เข้าถึงได้ง่ายและเท่าเทียมกัน
- Landscape of variety:พื้นที่ที่หลากหลาย ช่วยให้ทีมงานและบุคลากรทำงานอย่างมีประสิทธิภาพและมีความสุข
- Igniting our spark:จุดประกายของพนักงานด้วยทรัพยากรที่เหมาะสม รองรับความต้องการและความท้าทายในอนาคต เพื่อการปลดปล่อยศักยภาพส่วนบุคคลของพนักงาน
- A beacon for sustainability:สัญลักษณ์แห่งความยั่งยืน โดย U-House สานต่อวิสัยทัศน์ของยูนิลีเวอร์ในการเป็นองค์กรที่มุ่งมั่นในการสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนให้กับทุกคน
โดยพื้นที่สำนักงานของ U-House 2.0 แบ่งออกเป็น 5 ประเภท เพื่อตอบโจทย์การใช้งานที่ครอบคลุมตั้งแต่เป็นพื้นที่สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับการทำงาน ช่วยในเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ มีจุดทัชดาวน์ไว้ทำงานที่ต้องใช้การโฟกัสเป็นพิเศษ และพื้นที่ผ่อนคลายพักผ่อนหย่อนใจ
- Focus Zone:พื้นที่โฟกัสที่รองรับการทำงานที่ต้องใช้สมาธิเป็นพิเศษไม่ว่าจะเป็นงานเดี่ยว หรือการประชุมที่ต้องการความเป็นส่วนตัว โดยเราได้ดูแลจัดการพื้นที่ทำงานที่ส่งเสริมสมาธิของแต่ละบุคคล ตลอดจนการทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ
- Collaboration Zone:พื้นที่ทำงานร่วมกัน ตั้งแต่งานที่ต้องทำในแต่ละวันของของแต่ละบุคคล ตลอดจนการทำงานระดับทีม รวมถึงมีอุปกรณ์พื้นฐานที่มีความจำเป็นรองรับการทำงานที่หลากหลาย เราได้ปรับโฉมพื้นที่ให้โซนการทำงานร่วมกันมีชีวิตชีวาและสร้างความกระตือรือร้นระหว่างกัน เพื่อสนับสนุนการสร้างความรู้สึกร่วม และส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีในพนักงานที่หลากหลาย
- Connect Zone:พื้นที่เชื่อมต่อ โดยจัดสรรห้องประชุมให้มีเทคโนโลยีที่สนับสนุนการประชุมได้อย่างสมบูรณ์แบบ มาพร้อมระบบดูดซับเสียงและระบบไฟส่องสว่างที่ได้รับการปรับปรุงมาแล้ว รองรับการประชุมทีมทั้งขนาดเล็ก กลาง และใหญ่ระดับTown Hall นอกจากนี้ เรายังปรับโฉมพื้นที่ให้มีโซนการทำงานร่วมกันได้ดียิ่งขึ้น
- Vitality Zone:พื้นที่ที่เติมพลังแห่งใหม่ให้กับพนักงาน มอบโอกาสในการผ่อนคลาย เชื่อมต่อ และเติมพลังระหว่างวันทำงาน เช่นU Rest และ U Café มีโซน Wellness เพื่อดูแลสุขภาพองค์รวม ประกอบไปด้วยพื้นที่สำหรับคุณแม่ จุดงีบหลับ และพื้นที่สำหรับนักบำบัด ถือเป็นระบบสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงานอย่างครบวงจร
- Specialist Zone:พื้นที่สำหรับผู้ที่ต้องการคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญโดยเฉพาะ ทั้งในแง่ของการสนับสนุนการทำงานอย่างBusiness Support Centre และห้องพยาบาลเสมือนคลีนิกในองค์กรที่มีพยาบาลประจำทุกวัน คุณหมอประจำการอยู่วันเว้นวัน ที่สามารถจ่ายยาสามัญเบื้องต้นและปฐมพยาบาลเบื้องต้น พร้อมพื้นที่นักบำบัด (RSVP) สำหรับผู้ที่ต้องการคำปรึกษา รวมถึงมีห้องของคุณแม่ให้คุณแม่จัดการภารกิจส่วนตัวและมีตู้เย็นเก็บของเฉพาะคุณแม่ และมีเตียงพยาบาลที่สามารถนอนพักเมื่อไม่สบายได้ โดยใครมาก่อนก็จะสามารถใช้บริการได้ก่อน ทั้งหมดนี้เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรมีการสนับสนุนความเป็นอยู่ที่ดีอย่างครอบคลุมทั้งร่างกายและจิตใจ
คุณภูธัต เนตรสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายประสบการณ์การทำงานของพนักงาน ประเทศไทยและภาคพื้นอาเซียน กล่าวว่า “นโยบายลดเวลาการทำงานแบบ Hybrid Working ไทยถือเป็นกลุ่มประเทศเทียร์แรกที่มีการปรับตัว โดยปัจจุบันยูนิลีเวอร์ทั่วโลก 190 ประเทศได้มีการปรับใช้ไปแล้ว 30% ซึ่งสิ้นปีน่าจะครอบคลุมได้ 70% ของประเทศที่ยูนิลีเวอร์เข้าไปทำตลาด”