ในวันที่เทคสตาร์ทอัพทั่วโลกเข้าสู่สถานะยูนิคอร์นได้ยากขึ้น แต่ในจีน ชื่อของ “01.AI” ที่มีผู้ก่อตั้ง และซีอีโออย่าง “ดร.ไคฟุ ลี” (Kai-Fu Lee) กำลังเป็นยูนิคอร์นตัวใหม่ที่น่าจับตา หลังความสามารถของ “01.AI” สามารถดึงดูดใจบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba ให้ร่วมลงทุนได้ และถูกประเมินว่ามีมูลค่าเกิน 1 พันล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเร็ว ๆ นี้
สำหรับ ดร.ไคฟุ ลี ปัจจุบันเป็นนักวิทยาศาสตร์จีนที่มีชื่อเสียงอย่างมากในด้าน AI และเป็นซีอีโอของ Sinovation Ventures โดยเขาเคยทำงานกับบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐอเมริกามากมาย ทั้ง Google, Microsoft, Apple และจะก้าวเข้ามาเป็นซีอีโอของ 01.AI ด้วย
01.AI เริ่มฟอร์มทีมอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และเริ่มทำงานในเดือนมิถุนายน โดยสิ่งที่ “01.AI” พัฒนาคือโมเดลภาษาขนาดใหญ่แบบโอเพ่นซอร์ส (Large Language Model : LLM) ชื่อ Yi-34B ที่เปิดให้นักพัฒนาทั่วโลกเข้าถึงได้ (มีทั้งแบบภาษาอังกฤษและภาษาจีน) ซึ่งมีการยืนยันจาก Hugging Face คอมมูนิตี้ของนักพัฒนา AI และเป็นผู้จัดทำ Leaderboard เพื่อจัดอันดับโมเดล LLM ว่า โมเดลดังกล่าวมีประสิทธิภาพเหนือกว่าโมเดลอื่น ๆ ที่มีให้บริการในตลาดปัจจุบัน รวมถึงเหนือกว่าโมเดลของ Meta อย่าง Llama 2 ด้วย
รวมทีมงานสาย AI – ธุรกิจ
สำหรับทีมงานของ 01.AI นั้นพบว่า มีมากกว่า 100 คน โดยส่วนหนึ่งเป็นอดีตเพื่อนร่วมงานของ ดร.ไคฟุ ลี ทั้งในสหรัฐอเมริกา และบริษัทสัญชาติจีนในต่างประเทศ ซึ่งทีมงานเหล่านี้มีทั้งผู้ที่เชี่ยวชาญด้านการพัฒนา AI และผู้เชี่ยวชาญจากฟากธุรกิจ ทำให้มีการคาดการณ์ว่า อาจได้เห็นการประยุกต์ใช้โมเดลดังกล่าวให้กับบางอุตสาหกรรมแบบเฉพาะเจาะจง ส่วนชื่อโมเดล Yi-34B นั้น มาจากค่าพารามิเตอร์ที่ใช้ในการเทรน AI ที่มี 34,000 ล้านตัวนั่นเอง
ดร.ไคฟุ ลี บอกด้วยว่า การที่โมเดล LLM รองรับได้ทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ จะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อสถาบันการเงิน ธุรกิจประกันภัย รวมถึงบริษัทเทรดดิ้ง พร้อมบอกด้วยว่า จะมีการพัฒนาภาษาอื่น ๆ เพิ่มเติมในอนาคต
เตรียมความพร้อมเรื่อง “ชิป”
การก้าวสู่สถานะยูนิคอร์นของ 01.AI แสดงให้เห็นว่า ไม่เฉพาะนักพัฒนาจากฟากตะวันตกที่สนใจพัฒนา AI กันเป็นจำนวนมาก แต่นักพัฒนาจากจีนก็มุ่งสู่เป้าหมายนี้เช่นเดียวกัน โดยนอกจาก 01.AI แล้ว ยังมี Baidu ที่เปิดตัว Ernie LLM หรือ Alibaba ที่ร่วมลงทุนในสตาร์ทอัพอย่าง 01.AI ด้วย
ทั้งนี้ ความท้าทายของการพัฒนา AI ในจีนอาจเป็นเรื่องการปิดกั้นทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาไม่ให้บริษัทเทคโนโลยีจากจีนเข้าถึงชิปที่มีพลังในการประมวลผลสูง ซึ่ง ดร.ไคฟุ ลี มองปรากฏการณ์นี้ว่าเป็นเรื่องน่าเศร้า อย่างไรก็ดี เขาบอกว่า 01.AI มีชิปมากพอสำหรับการพัฒนาในอนาคต และจะมีการลงทุนในเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง