“สยามดิสคัฟเวอรี่” หนึ่งในศูนย์การค้าในเครือสยามพิวรรธน์ ที่มีจุดเด่นที่ความยูนีค ดีไซน์ที่แตกต่าง เปรียบเสมือนเมืองแห่งไอเดียสุดล้ำหรับกลุ่มคนที่มีไลฟ์สไตล์ชัดเจน โดยตลอดปี 2566 ที่ผ่านมา “สยามดิสคัฟเวอรี่” เติมเต็มแม็กเนตใหม่ๆ ภายในศูนย์อีกทั้งยังสร้างปรากฏการณ์ต่างๆมาแล้วมากมายตั้งแต่การนำเสนอ K-Culture สุดฮอตมาสู่ประเทศไทย
เริ่มจากการนำ Carlyn แบรนด์กระเป๋าชื่อดังจากเกาหลีใต้ มาเปิด Carlyn Popup Boutique จนสร้างกระแสต่อคิวพรีออเดอร์และเป็นสินค้าสุดฮอต การเปิด Boggle Boggle K-Ramyun Pop-up Shop ครั้งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งแฟชั่นยอดนิยมที่เปิดเป็นที่แรกในประเทศไทยต่างๆมากมายทั้ง Mardi Mercredi, EMIS ที่เหล่าไอดอลเกาหลีคนดังนิยมสวมใส่เข้ามา
กลยุทธ์การดึงแบรนด์ต่างๆที่เป็นเทรนด์เข้ามามากขึ้น ทำให้สามารถขยายฐานกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการภายในศูนย์ให้มีความเป็น Young Generation เข้ามามากขึ้น แต่ทว่าลูกค้าของสยามดิสคัฟเวอรี่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นกลุ่ม Shopaholic เดิมคือ Generation X และ Y ทำให้จากนี้ไป “สยามดิสคัฟเวอรี่” ยังคงมีการมองหาความแปลกใหม่ เข้ามาเติมเต็มภายในศูนย์เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่ม Young Generation มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น แฟชั่น ร้านอาหาร ไปจนถึงกิจกรรมทางการตลาดที่หมุนเวียนตลอดทั้งปี
คุณสรัลธร อัศเวศน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผู้บริหารสายงานบริหารธุรกิจศูนย์การค้า บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด กล่าวว่า “การจับมือ Carlyn จับกลุ่มเด็กได้มากขึ้น ตั้งแต่อายุ 19-35 ปี จากอดีตที่สัดส่วนกลุ่มนี้ยังน้อยอยู่ ทำให้จากนี้ไปเราเริ่มโฟกัสกลุ่มนี้มากขึ้น เนื่องจากมองว่าลูกค้ากลุ่มนี้เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มีกำลังซื้อและศักยภาพสูง”
ครั้งแรกกับโซน Flavor Lab เปิดพื้นที่ชั้น 3 ปั้น Food Community ดึงลูกค้าใช้เวลาในศูนย์เพิ่ม
หนึ่งในความพิเศษที่ “สยามดิสคัฟเวอรี่” ดึงเข้ามาเป็นแม่เหล็กในการดึงลูกค้าเข้ามาใช้บริการในครั้งนี้คือ การปรับพื้นที่ของชั้น 3 ทั้งหมด ให้เป็นโซเชียลคอมมูนิตี้และพื้นที่ของร้านอาหาร เพื่อเป็นไปตามกลยุทธ์ในการขยายช่วงเวลาที่ลูกค้าใช้ภายในศูนย์ฯ และยังรองรับความต้องการของลูกค้าที่ต้องการรับประทานอาหารที่แตกต่าง และไม่ซ้ำกับใครในตึกนี้
คุณสรัลธร อัศเวศน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า นับเป็นครั้งแรกที่สยามดิสคัฟเวอรี่มีการดึงร้านอาหารเข้ามาเปิดภายในศูนย์อย่างอย่างจริงจัง เนื่องจากต้องการเพิ่มเวลาจับจ่ายภายในศูนย์ของลูกค้าอย่างน้อย 1 ชั่วโมง จากอดีตที่ลูกค้าของสยามดิสคัฟเวอรี่เข้ามาซื้อแล้วก็กลับไป การเติมร้านอาหารเข้าไปจึงเป็นการปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่ศูนย์ฯขาดให้ดีขึ้น เนื่องจากมองว่าอาหารมีบทบาทสำคัญในการพาทราฟฟิกหรือลูกค้าเข้ามาใช้บริการภายในศูนย์การค้า
สำหรับชั้น 3 ของโซน “Flavor Lab” หรือพื้นที่อาหารคอนเซ็ปต์ใหม่แห่งนี้มีพื้นที่ราว 2,500 ตร.ม. ที่เป็นการปรับจาก Culture Lab เดิม ด้วยเติมร้านอาหารที่เป็นครั้งแรกในประเทศไทยเข้ามามากมาย หลังจากเมื่อกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา มีร้านเปิดให้บริการแล้ว ได้แก่ Babyccino & Co. เเละร้านโดนัทจากสหรัฐฯ Duck Donuts ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดี โดยจากนี้ไปจะเปิดให้บริการเพิ่มเติมได้แก่
- ร้าน Bornga ร้านปิ้งย่างเกาหลีชื่อดังดังของเซเลบริตี้เชฟแบคจงวอนที่มีชื่อเสียงมากที่เกาหลีใต้ ครั้งแรกที่เปิดในช้อปปิ้งเซ็นเตอร์และในศูนย์การค้า
- ร้าน Kagonoya ร้านอาหารญี่ปุ่นเเนวพรีเมียมชาบูเบอร์ 1 จาก “โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น”
- ร้าน Kungthong Seafood ร้านอาหารไทยชื่อดังเรื่องซีฟู๊ดรสจัดจ้านตามตำหรับไทย จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา
- ร้าน Roberta’s ร้านอาหารจากสหรัฐอเมริกาเปิดตัวครั้งแรกในไทย ที่สยามดิสคัฟเวอรี่ ขึ้นชื่อด้านพิซซ่าสุดอร่อยที่มิชลินไกด์นิวยอร์คแนะนำ โดยจะเปิดภายใน ม.ค. 2567 นี้
“ร้านอาหารทั้ง 3-4 ร้านไม่ได้มาง่ายๆ เราดินทางไปหลายประเทศเพื่อให้ได้มา เนื่องจากสิ่งที่เราต้องการคือความโดดเด่น ยูนีค แตกต่างจากร้านอาหารที่มีอยู่ในวันสยามฯ ซึ่งทุกร้านจะเป็นครั้งแรกที่เข้ามาเปิดให้บริการที่นี่” คุณโจเซฟ เตียว ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและวางแผนกลยุทธ์ บริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัดกล่าวถึงที่มาของการดึงร้านอาหารแต่ละแบรนด์เข้ามาไว้ภายในศูนย์ฯ
ขณะที่ในปีหน้า (2567) จะมีการดึงร้านอาหารที่เป็นร้านอาหารจากนานาชาติ ที่มีเอกลักษณ์และความโดดเด่นเข้ามาเปิดเพิ่มอีก 6 แบรนด์ ทั้งร้านสลัดชื่อดังจาก ออสเตรเลีย ,ร้านชีสเค้กระดับมิชลินสตาร์ชื่อดังจากญี่ปุ่นไปจนถึงร้านอาหารเกาหลีที่สามารถอาหารทานง่ายๆ เข้ามาเพิ่มเติม
ดึง K-Culture เพิ่มแฟชั่นแบรนด์ดังจากเกาหลี ย้ำความเป็น K-Hub ใจกลางกรุงฯ
นอกจากร้านอาหารที่จะเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความโดดเด่นให้แก่ศูนย์แล้ว อีกหนึ่งไฮไลต์ที่สำคัญของ “สยามดิสคัฟเวอรี่” คือการดึงนำเรื่องของ K-Culture ที่มาแรงปั้นเป็นศูนย์กลางของแบรนด์เกาหลี ตอกย้ำการเป็น Best K-Street Fashion Hub
โดยปีหน้าได้เตรียมแบรนด์จากเกาหลีทั้งแฟชั่นและเครื่องประดับใหม่ๆมาเปิดเพิ่มอีกเท่าตัวเป็น 40 แบรนด์ ซึ่งเมื่อนับรวมแบรนด์สัญชาติเกาหลีที่มาอยู่ภายในสยามดิสคัฟเวอรี่ทั้งหมดแล้วจะมีมากกว่า 100 แบรนด์เลยทีเดียว นับว่าการเติมแบรนด์เกาหลีเพิ่มมากขึ้น นอกจากจะเป็นการรองรับรับเทรนด์ K-Culture ที่มาแรงแล้วยังเป็นแม่เหล็กสำคัญตอกย้ำความเป็น K-Hub ใจกลางกรุงเทพฯ พร้อมทั้งดึงดูดและขยายฐานกลุ่มลูกค้ายังเจนเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
นอกจากนี้ยังมีการสร้างโซนใหม่ๆ เพื่อรองรับลูกค้าหน้าใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์และมีความ Yonger Group มากขึ้น โดยเฉพาะบริเวณชั้น 4 ชั้น 4 ฮีโร่ Legend of Sport หรือการเปิดพื้นกีฬาสำหรับครอบครัวมากกว่า 1,000 ตร.ม. ในรูปแบบ Digital Experience
โซน อีโค่โทเปีย เมืองแห่งคนรักษ์โลกที่ทุกคนมีความเชื่อว่า “เราสร้างโลกให้ดีขึ้นได้ด้วยกัน” Together, We Co-Create a Better World จับกลุ่มคนที่ให้ความสำคัญในการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นเทรนด์ที่คนทั่วโลกให้ความสนใจ ดังนั้นในปีนี้จึงสร้างของขวัญในคอนเซ็ปต์ “ยิ่งให้ ยิ่งลด” ไม่ว่าจะเป็นกระเช้าปีใหม่ หรือ Travel set ด้วยสินค้าใช้วัตถุดิบรีไซเคิล นำมาผ่านกระบวนการผลิตให้เกิดเป็นของใหม่ เป็นของขวัญที่ตอบโจทย์คนรักษ์โลก ทั้งเสื้อผ้า กระบอกน้ำ ครีมบำรุง เครื่องสำอาง เป็นต้น
ร้าน ลอฟท์ ที่วางแผนบุกตลาดกลุ่มลูกค้าหน้าใหม่ ด้วยการ Co-create & Collaboration กับหลากหลายแบรนด์ดังในรูปแบบต่างๆ เพื่อขยายฐานลูกค้า โดยนำเสนอสินค้า Only @LOFT อาทิ สินค้าลิขสิทธิ์จากการ์ตูน เกมส์ หรือศิลปินชื่อดัง รวมถึงตำนานอนิเมชั่น ขณะเดียวกันจะมีกิจกรรมและแคมเปญต่างๆ เกิดขึ้นมากมายตลอดทั้งปีตอกย้ำคอนเซ็ปท์ “Everyday Surprise” ของลอฟท์นั่นเอง
เนรมิตรแคมเปญ Pop-Up ชื่อดังรับเทศกาลแห่งความสุขปลายปี
โดยปีนี้สยามดิสคัฟเวอรี่ลงทุนงบส่งเสริมการตลาดส่งท้ายปี กว่า 50 ล้านบาท สยามดิสคัฟเวอรี่ ต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขจัดงาน “Sustainable Living X’mas Tree 2023”ปรากฏการณ์คอลลาบอเรชั่นระหว่างสยามดิสคัฟเวอรี่ ร่วมกับ Bellygom หมีสีชมพูขี้เล่นสุดน่ารักที่โด่งดังจากเกาหลีใต้ และ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC มอบความสุขให้ทุกคนผ่าน Bellygom ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในเกาหลีใต้และเคยสร้างผลงานร่วมกับแบรนด์ดังมาแล้วมากมาย อาทิ Applary, Barrel, Krispy Kreme, Nivea , Wiggle Wiggle เป็นต้น อีกทั้งยังมอบความพิเศษด้วยกระดาษห่อของขวัญลายหมี Bellygom และพบกับสินค้าของขวัญสุดพิเศษคาแรคเตอร์ Bellygom วางจำหน่ายที่ร้านลอฟท์ ชั้น 2 สยามดิสคัฟเวอรี่
จากการเปิดตัวร้านใหม่และแผนกิจกรรมส่งเสริมการตลาดที่จัดมาเต็มพิกัด เป็นการเตรียมการมาอย่างดีเพื่อมอบเป็นของขวัญให้กับลูกค้าทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ตอกย้ำและยืนหยัดการเป็น Gifts Destination อย่างแท้จริง โดยสามารถสร้างทราฟฟิกได้ประมาณ 50,000-70,000 คนต่อวัน และทำให้ยอดขายเติบโตขึ้นกว่า 10-15% จากปกติลูกค้าใช้บริการ 40,000-50,000 คนต่อวัน และการปรับพื้นที่ต่างๆ จะเสร็จสมบูรณ์ภายในไตรมาสแรกปีหน้า