ถึงช่วงปลายปีเข้าสู่ช่วงปลายฝนต้นหนาว แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตที่หลายๆ คนนึกถึงคือ การเที่ยวชม “ทุ่งทานตะวัน” ที่พากันออกดอกสีเหลืองทอดไกลสุดลูกหูลูกตาตามแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตต่างๆ จุดประสงค์ของการปลูกดอกทานตะวันของเกษตรกร นอกจากเพื่อการท่องเที่ยวแล้ว “ทานตะวัน” ยังเป็นหนึ่งในพืชเศรษฐกิจสำคัญที่เป็นที่ต้องการของตลาด โดยน้ำมันจาก “ดอกทานตะวัน” หรือ “น้ำมันดอกทานตะวัน” ที่ผ่านกระบวนการสกัดจากเมล็ดทานตะวัน ซึ่งได้รับการรับรองว่าเป็นน้ำมันที่ดีต่อสุขภาพ อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ ทำให้น้ำมันชนิดนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นต่อเนื่อง
นายเพชร หวั่งหลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนากรผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช จำกัด หรือผู้ผลิตและจำหน่าย “น้ำมันพืชกุ๊ก” หนึ่งในธุรกิจหลักของ “กลุ่มพูลผล” เปิดเผยว่า กลุ่มพูลผลเป็นผู้รับซื้อสินค้าเกษตรรายใหญ่ที่สุดของประเทศ ทั้ง “ถั่วเหลือง” และ “ทานตะวัน” ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิตน้ำมันพืช โดยเฉพาะ “ทานตะวัน” ที่มีการรับซื้อจากเกษตรกรเฉลี่ย 7,000 ตัน/ปี จากผลผลิตรวมทานตะวัน 8,200 ตัน/ปี คิดเป็นสัดส่วนการรับซื้อถึง 85-90%
โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการคัดเลือกวัตถุดิบอย่างพิถีพิถัน ก่อนนำมาผ่านการกลั่นด้วยกรรมวิธีที่ทันสมัย และมีการแยกไขด้วยกระบวนการ Winterization ทำให้ได้น้ำมันดอกทานตะวัน 100% คุณภาพสูง คงความใส ไม่ตกตะกอนแม้เก็บในที่เย็น อุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย มีกรดไขมันอิ่มตัวต่ำกว่า 11% เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมคอเลสเตอรอล นอกจากนี้ยังมีปริมาณวิตามินอีสูงถึง 20% มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่ และบำรุงสายตา เป็นต้น
ปัจจุบัน บริษัท ธนากรผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช จำกัด เป็นโรงงานสกัดน้ำมันพืช และกากพืชน้ำมันที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของประเทศ โดยเป็นผู้ผลิตน้ำมันพืชที่มีคุณภาพภายใต้แบรนด์ “กุ๊ก” ได้แก่ น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันทานตะวัน และน้ำมันคาโนลา นอกจากนี้ ได้ผลิตกากพืชน้ำมันเพื่อเป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ตลอดจนผลิตภัณฑ์ ที่ทําจากถั่วเหลือง เช่น เลซิทิน distillate และกรคน้ำมันถั่วเหลือง
ทั้งนี้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคด้านสุขภาพ บริษัทฯ ได้นำเทคโนโลยีการผลิตต่างๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-friendly production) มาใช้ในการผลิต โดยบริษัทถือผู้ผลิตน้ำมันพืชรายแรกในเอเชียที่นำระบบ ICS (Ice Condensing Vacuum System) มาใช้ในกระบวนการกลั่น เพื่อให้ได้น้ำมันพืชคุณภาพที่ดีที่สุด ลดการใช้พลังงานความร้อน และระยะเวลาในการกลั่น ทำให้สามารถรักษาคุณภาพน้ำมันได้เป็นอย่างดี ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นชัดเจนคือ การได้รับรางวัล Green Industry ระดับ 5 จากกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งถือเป็นบริษัทฯ เป็นผู้ผลิตน้ำมันพืชรายแรก และรายเดียวที่ได้รับรางวัลนี้
โดยหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของบริษัท คือ การมุ่งสู่องค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net-Zero Carbon Emissions) ด้วยการกำหนดยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่อง (GREEN BUSINESS ROAD MAP) โดยวิธีการประเมินเชิงปริมาณของการใช้ทรัพยากร ปริมาณมลพิษที่เกิดขึ้น และผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อโลก และระบบนิเวศ ตามหลักการ Life Cycle Assessment (LCA)