แม้ทุกวันนี้ผู้บริโภคจะตื่นตัวและหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมกันมากขึ้น แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัญหาภัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของโลก ทั้งฝุ่น PM 2.5 ภาวะโลกร้อน ฝนตกหนัก ไปจนถึงแผ่นดินไหว และภัยแล้ง ยังทวีความรุนแรงขึ้น ทั้งยังค่อย ๆ เข้ามาใกล้ตัวเราขึ้นทุกวัน ส่งผลให้เราได้เห็นองค์กรยุคใหม่หันมาดำเนินธุรกิจด้วยวิถี “ยั่งยืน” โดยมุ่งขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตไปพร้อม ๆ กับสังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจังมากขึ้น เพราะไม่เพียงจะช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดและเติบโตในระยะยาว ทว่ายังช่วยปกป้องโลกให้อยู่กับเราไปยาวนาน
โดย “เบอร์ดี้” แบรนด์กาแฟพร้อมดื่มที่อยู่ในใจผู้บริโภคชาวไทยมากว่า 30 ปี เป็นหนึ่งในกรณีศึกษาของแบรนด์ที่ขับเคลื่อนธุรกิจบนความยั่งยืนได้อย่างสนใจ เพราะมีแนวคิดและเป้าหมายการดำเนินธุรกิจบนความยั่งยืนอย่างจริงจัง รวมถึงมีวิธีการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างต่อเนื่องจนเห็นผลเป็นรูปธรรมชัดเจน หลายคนคงอยากรู้ว่า วิถียั่งยืนในแบบเบอร์ดี้เป็นอย่างไร? Brand Buffet พามาคุยกับ “คุณพิมพ์สร เลิศอุตสาหกูล” ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจกาแฟ บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเจาะลึกมุมมอง วิธีคิด พร้อมก้าวต่อไปของเบอร์ดี้บนเส้นทางความยั่งยืน
“ความยั่งยืน” หัวใจขับเคลื่อน “เบอร์ดี้” สร้างการเติบโตและครองใจผู้บริโภค
หากพูดถึง “กาแฟ” หลายคนคงจะนึกถึงกลิ่นหอมกรุ่นของเมล็ดกาแฟ กับรสชาติเข้ม ๆ ที่แค่ได้สัมผัสกลิ่นหรือจิบสักแก้วในยามเช้า ร่างกายก็สดชื่นแล้ว กาแฟจึงกลายเป็นเครื่องดื่มยอดฮิตของผู้บริโภคชาวไทย และมีอัตราการบริโภคสูงขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลทำให้ตลาดกาแฟมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จนมีหลายแบรนด์จากหลายสัญชาติเข้ามาบุกตลาดกันอย่างคึกคัก
แต่หากเอ่ยถึงกาแฟพร้อมดื่ม บรรดาคอกาแฟคงนึกถึงชื่อ “เบอร์ดี้” เป็นแบรนด์แรก ๆ เพราะเป็นแบรนด์กาแฟแรกที่บุกเบิกตลาดกาแฟกระป๋องในไทยตั้งแต่ปี 2536 รวมถึงมีจุดเด่นในเรื่องวัตถุดิบคุณภาพและรสชาติกาแฟที่โดนใจทุกความต้องการ ทั้งยังเอาจริงกับการดำเนินธุรกิจบนความยั่งยืน ส่งผลให้ “เบอร์ดี้” ไม่เพียงสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ยังครองตลาดและครองใจคนไทยทั่วประเทศมาถึงทุกวันนี้ รวมทั้งช่วยดูแลและฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นด้วย
“เบอร์ดี้เป็นแบรนด์กาแฟที่อยู่ภายใต้บริษัท อายิโนะโมะโต๊ะ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีความเกี่ยวพันกับสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างมาก จึงทำให้เรามีแนวคิดตั้งแต่เริ่มต้นทำธุรกิจว่า การดำเนินงานของเราต้องสร้างความอยู่ดีมีสุขให้สังคมอย่างยั่งยืน ทั้งการส่งเสริมให้คนไทยมีโภชนาการที่ดี และไม่สร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับโลก” คุณพิมพ์สร บอกถึงวิสัยทัศน์ธุรกิจและเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินธุรกิจบนความยั่งยืนของเบอร์ดี้
ส่งเสริมเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟยั่งยืน
เมื่อวางจุดยืนชัดเจนแล้ว คุณพิมพ์สร บอกว่า เบอร์ดี้ได้เริ่มลงมือศึกษาและวางแนวทางการทำงาน โดยนำเอาหลักความยั่งยืนมาใช้ตลอดกระบวนการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ผ่านกลยุทธ์การดำเนินงานใน 3 ด้าน เริ่มจากการสร้างความยั่งยืนให้เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟไทย เพราะเข้าใจดีว่า ธุรกิจกาแฟขับเคลื่อนด้วยเมล็ดกาแฟ หากเกษตรกรซึ่งเป็นต้นน้ำของธุรกิจกาแฟมีคุณภาพชีวิตที่ดี ก็จะสร้างผลผลิตที่มีคุณภาพ และทำให้เบอร์ดี้สามารถนำมาพัฒนาสูตรกาแฟให้มีรสชาติที่ดีและโดนใจผู้บริโภคอยู่เสมอ
ดังนั้น เบอร์ดี้จึงให้ความสำคัญกับการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีกับเกษตรกรในทุกด้าน โดยลงพื้นที่ศึกษาปัญหาในการเพาะปลูกที่เกษตรกรต้องเจอ รวมถึงวิจัยศึกษาเพื่อให้เกษตรกรได้ผลผลิตที่ดีขึ้น พร้อมพัฒนาโครงการ Green Coffee Bean (GCB) และ Thai Farmer Better Life เพื่อถ่ายทอดความรู้ตั้งแต่การปลูกกาแฟที่ใช้ปุ๋ยอินทรีย์เคมีที่พัฒนาจากเทคโนโลยีเฉพาะซึ่งอุดมไปด้วยกรดอะมิโนกับชาวไร่ ไปจนถึงการดูแล และเก็บเกี่ยว ซึ่งแนวทางนี้จะช่วยให้เมล็ดกาแฟที่ได้ปลอดสารพิษ และไม่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม เพราะลดการใช้สารเคมี แถมยังช่วยเพิ่มผลผลิตให้เกษตรกรมากขึ้นนอกจากนี้ เบอร์ดี้ยังรับซื้อเมล็ดกาแฟโรบัสต้าจากเกษตรกรไทย ซึ่งปัจจุบันรับซื้อกว่า 1,500 ตันต่อปี เพื่อนำมาผลิตเป็นกาแฟพร้อมดื่มเบอร์ดี้ จึงช่วยให้เกษตรกรมีรายได้มั่นคง โดยสามารถสร้างรายได้ให้เกษตรกรกว่า 100 ล้านบาทต่อปี
ลุยใช้พลังงานสะอาด – พัฒนาแพจเกจจิ้งรักษ์โลก
ไม่เพียงสร้างความยั่งยืนให้เกษตรกรไทย ในส่วนกลางน้ำ เบอร์ดี้ยังให้ความสำคัญไม่แพ้กัน โดยมุ่งสร้างความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Eco-Friendly) ทั้งบรรจุภัณฑ์และโรงงาน โดยคุณพิมพ์สร บอกว่า โรงงานของเบอร์ดี้มีการปรับเปลี่ยนไปใช้พลังงานไฟฟ้าที่เป็นพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทน ไม่ว่าจะเป็นโซลาร์เซลล์ และชีวมวลอย่างต่อเนื่อง ทำให้ ปีที่ผ่านมาสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในกระบวนการผลิตได้ 34% หรือมากกว่า 9,000 ตันเมื่อเทียบกับปี 2018
ขณะเดียวกัน ยังได้ปรับบรรจุภัณฑ์กาแฟพร้อมดื่มมาเป็นวัสดุที่สามารถนำไปรีไซเคิลได้ง่าย ทั้งยังนำเอา “เยื่อไม้ป่าปลูก” มาทำเป็นกล่องบรรจุภัณฑ์กาแฟเบอร์ดี้ซึ่งสามารถย่อยสลายได้ โดยมีการปลูกต้นไม้ทดแทนเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว ทั้งยังทำให้เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากรในกระบวนการผลิตให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดปริมาณขยะพลาสติกในการผลิตลงด้วย
Birdy Café ดื่มแล้ว ได้รักษ์โลก
ส่วนการสร้างความยั่งยืนให้กับปลายน้ำ “เบอร์ดี้” มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์กาแฟพร้อมดื่มมาตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจโลกด้วย โดยเริ่มจาก “Birdy Café Series” เป็นผลิตภัณฑ์แรก ที่ออกมาตอบเทรนด์การดื่มกาแฟของคนรุ่นใหม่ที่หันมาดื่มกาแฟที่บ้านมากขึ้น รวมถึงมองหากาแฟที่มีรสชาติดีเหมือนไปนั่งจิบกาแฟที่ร้านมากขึ้น โดยความพิเศษของ Birdy Café Series นอกจากจะเป็นกาแฟพร้อมดื่มที่ผลิตจากเมล็ดกาแฟสายพันธุ์โรบัสต้าคุณภาพจากเกษตรกรไทย 100% แล้ว แพคเกจจิ้งยังรีไซเคิลได้ทุกส่วน โดยเฉพาะกล่อง UHT สามารถรักษาคุณภาพและกักเก็บกลิ่นกาแฟได้ดีกว่า จึงทำให้คอกาแฟมีส่วนช่วยเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ไปพร้อม ๆ กับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
ปัจจุบัน Birdy Café Series มีให้เลือก 2 รสชาติ คือ Birdy Café Black กาแฟดำพร้อมดื่ม ไม่มีน้ำตาล เข้ม เต็มรสชาติ และ Birdy Café Latte กาแฟนมพร้อมดื่ม หวาน นุ่ม กลมกล่อม รวมถึงมี Birdy Home Café Black ซึ่งเป็นกาแฟดำแบบเข้มข้น ไม่มีน้ำตาล บรรจุในกล่องขนาด 1 ลิตร เพื่อให้คนรักกาแฟได้ครีเอทเมนูโดนใจได้ง่าย ๆ ที่บ้านอีกด้วย ซึ่งในอนาคตเบอร์ดี้ยังมีแผนจะส่งผลิตภัณฑ์กาแฟพร้อมดื่มรูปแบบใหม่ ๆ ออกมาตอบความต้องการคอกาแฟอย่างต่อเนื่อง
ทั้งหมดคือ เส้นทางการดำเนินธุรกิจกาแฟบนความยั่งยืนของเบอร์ดี้ตลอด 30 ปี ซึ่งทำให้เราได้เห็นว่าทุกอย่างทำได้จริง และหากลงมือทำอย่างต่อเนื่อง สามารถสร้างความยั่งยืนได้ ซึ่งทิศทางต่อจากนี้ กระบวนการทำงานในแต่ละด้านจะ “เข้มข้น” ขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการสร้างความยั่งยืนให้เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ คุณพิมพ์สร บอกว่า อนาคตจะมีการขยายพื้นที่สนับสนุนมากขึ้น ทั้งภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้ ทั้งยังสามารถตรวจสอบย้อนกลับได้ว่าเมล็ดกาแฟนี้มาจากเกษตรกรใด
ซึ่งหากเบอร์ดี้สามารถทำได้ตามเป้าหมาย ไม่เพียงเราจะได้เห็นแบรนด์ “เบอร์ดี้” เติบโตและครองใจผู้บริโภคชาวไทยอย่างแข็งแกร่งแล้ว ยังจะทำให้ธุรกิจกาแฟไทยก้าวสู่ความยั่งยืนไปพร้อมกันด้วย
สำหรับใครที่อยากสัมผัสความยั่งยืนของเบอร์ดี้แบบเต็ม ๆ ตากว่านี้ สามารถมาชม Birdy Pavilion ในงาน Thailand Coffee Fest 2023 ได้ตั้งแต่วันนี้ จนถึง 17 ธันวาคม 2566 แล้วคุณจะเห็นภาพกาแฟยั่งยืน พร้อมหลงรักแบรนด์กาแฟนี้มากขึ้นอย่างแน่นอน