ปี 2566 ถือเป็นปีที่เหน็ดเหนื่อยและท้าทายสำหรับนักลงทุนทุกคน ซึ่งไม่ใช่แค่นักลงทุนไทย ยังรวมไปถึงนักลงทุนทั่วโลก เพราะต้องเผชิญกับความผันผวนมากมาย ทั้งการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เงินเฟ้อ และสถานการณ์สงคราม ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เกือบทุกชนิดปรับลดลง และทำให้การลงทุนยากมากขึ้น เพราะนอกจากจะคาดเดาได้ยาก ยังลงทุนแล้วยากจะได้กำไรกลับมาด้วย
สำหรับในปี 2567 แน่นอนว่าความผันผวนเหล่านี้ยังคงอยู่ นักลงทุนจึงต้องลงทุนกันอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะนักลงทุนรุ่นใหม่ แต่ในขณะเดียวกันก็คงอยากรู้ว่า ท่ามกลางสถานการณ์ไม่แน่นอนแบบนี้ ควรลงทุนในสินทรัพย์อะไรดี? และสินทรัพย์ไหนกำลังมา Brand Buffet พามาส่องเทรนด์การลงทุนในปี 2567 จาก Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เพื่อเป็นแนวทางในการวางแผนการลงทุนรับมือกับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น
หุ้นเทคโนโลยีขนาดกลาง-เล็ก กลับมาแรงรับเฟดลดดอกเบี้ย
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดกลางและขนาดเล็ก เป็นหนึ่งสินทรัพย์ที่อยู่ในช่วงขาลงมาตลอด 2 ปี เพราะได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ แต่ คุณณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุนและผู้ก่อตั้ง CIS บอกว่า ปี 2567 เป็นปีที่นโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (FED) จะเข้าสู่ภาวะผ่อนคลาย หลังจากแรงกดดันอัตราเงินเฟ้อเริ่มลดลง และธนาคารกลางสหรัฐฯ มีโอกาสจะปรับลดดอกเบี้ยเร็วขึ้นในเดือนมีนาคม จากเดิมที่คาดว่าจะเริ่มเห็นในช่วงกลางปีเป็นต้นไป
โดยปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลให้ตลาดการลงทุนมี “สภาพคล่อง” กลับเข้ามาอีกครั้ง และเม็ดเงินฟันด์โฟลว์ไหลกลับมายังสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ขณะเดียวกัน หากดูราคากองทุนรวม ETF ในกลุ่มของ ARK Invest ซึ่งลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็กปรับตัวขึ้นแรงตลอดเดือนพฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่าเริ่มมีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นกลุ่ม Growth Stock แล้ว
จึงมองว่า การลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีขนาดกลางและขนาดเล็ก รวมไปถึงหุ้นกลุ่มมูลค่าในสหรัฐฯ ที่อาจได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจถดถอย ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในปี 2567 เพราะมีโอกาสจะกลับมา Outperform ได้
บิทคอยน์ มีโอกาสเติบโตสูง
สินทรัพย์ดิจิทัล “บิทคอยน์” ถือเป็นสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มเติบโตสูงในปี 2567 โดยมีปัจจัยหนุนจากการเกิด Bitcoin Halving ซึ่งจะเป็นแรงผลักดันราคาบิทคอยน์ เพราะทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์นี้ ราคาบิทคอยน์จะสร้างจุดสูงสุดใหม่ รวมถึงการมาของ Bitcoin ETF จะทำให้นักลงทุนสถาบันไหลเข้ามาลงทุนในบิทคอยน์มากขึ้น
โดยมองว่าบิทคอยน์ที่ราคาเหนือระดับ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ถือว่ารับกับข่าวการตั้ง Bitcoin ETF มาแล้วพอสมควร ทำให้มีโอกาสสูงที่ราคาจะย่อตัวลง หลังจากมีการประกาศรับรองอย่างเป็นทางการ โดยประเมินแนวรับต่ำสุดไม่น่าจะต่ำกว่า 28,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ สามารถที่จะทยอยสะสมได้ และสามารถถือลงทุนได้ตั้งแต่หนึ่งปีขึ้นไป ส่วน Altcoin อื่นๆ ยังไม่สามารถที่จะประเมินได้อาจจะต้องรอจนกว่าจะเห็นความชัดเจนว่าธีมการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลจะปรับตามเทคโนโลยีใด
ทองคำ ยังเป็น “ขาขึ้น”
การลงทุนใน “ทองคำ” ยังถือเป็นสินทรัพย์ที่ได้ประโยชน์จากการที่นโยบายการเงินเริ่มผ่อนคลาย และธนาคารกลางของแต่ละประเทศเริ่มทยอยสะสมทองคำเพื่อเตรียมรับความเสี่ยงทางด้านการเมืองระหว่างประเทศ ทำให้มีแนวโน้มสูงที่ทองคำจะเป็น “ขาขึ้น” และสร้างผลตอบแทนในปี 2567 แต่อย่างไรก็ตาม การที่ราคาขึ้นมาทำจุดสูงสุดใหม่ไปแล้วในปี 2566 ประเมินว่าอัพไซด์ที่จะเกิดขึ้นอาจอยู่ในระดับประมาณ 10% โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ 2,360 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ตลาดหุ้นจีน ยัง “เสี่ยง”
หลังจากตลาดหุ้นจีนปรับตัวลงมาตลอดปี 2566 และมีปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน ในปี 2567 ตลาดหุ้นจีน มีโอกาสจะเป็นทั้ง “ขาขึ้น” และ “ขาลง” ต่อได้ ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจีนจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจได้ดีพอที่จะทำให้ตลาดหุ้นฟื้นหรือไม่ ซึ่งหากตลาดหุ้นจีนกลับตัวเป็นขาขึ้น มักจะให้ผลตอบแทนที่สูงเสมอ แต่ตอนนี้ยังคงมี “ความเสี่ยง” ที่ไม่ชัดเจน
หุ้นเวียดนาม ระยะสั้นยังน่าลงทุน
ทางด้านตลาดหุ้นเวียดนามยังคงมีความน่าสนใจในการลงทุนเสมอ แต่ด้วยความผันผวนของตลาดทำให้การถือลงทุนระยะยาวอาจมีความเสี่ยง จึงแนะนำให้จับจังหวะซื้อขายเป็นระยะๆ หากดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามปรับตัวลงมาประมาณ 10-15% สามารถใช้เป็นโอกาสลงทุนได้
หุ้นไทย ยังไร้เสน่ห์
ขณะที่ ตลาดหุ้นไทย มองว่าการลงทุนระยะสั้นตอนนี้ยังไม่น่าสนใจ แต่หากตลาดมีการปรับตัวลงมาในระดับ 1,200 จุด ในช่วงกลางปี 2567 มองเป็นโอกาสที่จะเข้าลงทุนระยะยาว จากการที่มีหุ้นพื้นฐานดีหลายตัวลงมาในระดับที่การประเมินน่าสนใจ แต่อัพไซด์ในปี 2567 อาจจะยังไม่สูงมาก โดยคาดหวังในระดับ 10%
Photo Credit : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand