ฟอร์ด (Ford) แบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอเมริกันตัดสินใจปรับลดจำนวนกะของพนักงานที่ใช้ในการผลิตรถ EV ของทางค่ายในแดนอินทรีลง เนื่องจากพบความต้องการซื้อรถ EV ทั้งในสหรัฐอเมริกาและในระดับโลกไม่พุ่งแรงอย่างที่ตั้งใจไว้ โดยคาดว่าจะมีพนักงานประมาณ 1,400 คนได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้
นโยบายการปรับลดพนักงานและกำลังการผลิตรถ EV ของ Ford เริ่มมีเค้าลางขึ้นตั้งแต่เดือนธันวาคมที่ผ่านมา โดยพนักงานที่ได้รับผลกระทบคือคนที่ทำงานใน The Rouge Electric Vehicle ที่จะเหลือเวลาทำงานเพียงหนึ่งรอบ (เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายนที่จะถึงนี้)
นอกจากนั้น บริษัทยังปรับลดการผลิตรถยนต์ EV รุ่นสำคัญของทางค่ายอย่าง F-150 Lightning และ Mustang Mach-E ที่ผลิตในเม็กซิโกลง รวมถึงลดการผลิตแบตเตอรี่ในโรงงานที่รัฐมิชิแกนลงครึ่งหนึ่งด้วย ส่วนแผนการสร้างโรงงานแบตเตอรี่ในรัฐเคนตั๊กกี้ก็มีการชะลอไปก่อนเช่นกัน
รถ EV ราคาแพงเกินเอื้อม?
สำหรับสาเหตุที่ทำให้อเมริกันชนเบนเข็มจากรถ EV มาจากสองปัจจัยหลัก นั่นคือราคาที่แพงเกินไปและจุดชาร์จที่ไม่สะดวกเท่าที่ควร หนึ่งในตัวอย่างก็คือการที่ค่ายรถเช่าชื่อดังอย่าง Hertz ออกมาประกาศขายเทสล่า Model 3 มือสองรุ่นปี 2021 โดยตั้งราคาไว้เพียง 20,000 – 23,000 เหรียญสหรัฐฯ จากราคาเต็ม 42,990 เหรียญสหรัฐฯ (ในไทยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 1.59 ล้านบาท) เนื่องจากมองว่าอาจจะถูกใจอเมริกันชนที่หวังอยากขับเทสล่าในราคาที่จับต้องได้
สำหรับประเด็นเกี่ยวกับจุดชาร์จ ข้อมูลจาก S&P Global Mobility ระบุว่า ในเดือนตุลาคม 2022 สหรัฐอเมริกามีรถ EV บนท้องถนนประมาณ 1.9 ล้านคัน หรือคิดเป็น 0.7% ของรถยนต์ทั้งหมดที่มีการใช้งาน และคาดการณ์ว่า ภายในปี 2030 ส่วนแบ่งตลาดของรถ EV จะเพิ่มขึ้นเป็น 40% ซึ่งในเวลานั้น คาดว่าจะมีรถ EV วิ่งอยู่ในสหรัฐอเมริการาว 28.3 ล้านคัน
ลงทุนเพิ่ม 8 เท่าเพื่อสร้างจุดชาร์จให้รถ EV
เพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว S&P Global Mobility ระบุว่า สหรัฐอเมริกาจะต้องลงทุนเพิ่มจุดชาร์จรถ EV (แบบ Level 2) ประมาณ 7 แสนจุด และแบบ Level 3 ประมาณ 70,000 จุด หรือเท่ากับต้องมีการลงทุนเพิ่มอีกราว ๆ 8 เท่าภายในปี 2030 เลยทีเดียว (หัวชาร์จรถ EV แบบ Level 2 คือหัวชาร์จที่สามารถจ่ายไฟให้รถ BEV ที่แบตเตอรี่จากศูนย์เป็น 80% ได้ภายใน 4 – 10 ชั่วโมง มักพบได้ทั่วไปตามสำนักงาน บ้านเรือน หรือร้านสะดวกซื้อ ส่วนหัวชาร์จรถ EV แบบ Level 3 นั้นมีอีกชื่อว่า DC Fast Charging หรือ DCFC ซึ่งเป็นหัวชาร์จที่จ่ายไฟได้เร็วและแรงสูงสุด เหนือกว่า Level 2 แต่อาจไม่รองรับกับรถ EV บางประเภท) ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ท้าทายเกินไปสำหรับสหรัฐอเมริกาที่กำลังแบกภาระหนี้มหาศาล
นักวิเคราะห์จาก UBS Global Wealth Management คาดการณ์ด้วยว่า ยอดขายรถ EV ในสหรัฐอเมริกาปีนี้อาจเติบโตแค่ 11% ลดลงจากปี 2023 ที่เคยโตถึง 47% และปี 2022 ที่โตถึง 60%
อย่างไรก็ดี ซีอีโอของ Ford อย่าง Jim Farley ยังคงมองโลกในแง่บวก และยังเชื่อมั่นว่าจะมีอนาคตที่สดใสสำหรับรถ EV รออยู่อย่างแน่นอน โดยจะมาจาก Specific Customer เท่านั้น รวมถึงคาดการณ์ด้วยว่ายอดขายรถ EV ในระดับโลกจะกระเตื้องขึ้นในปี 2024 นี้ด้วย
Photo Credit : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand
เป็นเพื่อนกับเราได้ที่ <a href=”https://page.line.me/rxy0647y?openQrModal=true” target=”_blank” rel=”noopener”>LINE</a>