“อิเวนต์” เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากโควิดอย่างรุนแรง นับตั้งแต่ปี 2563 ที่ตลาดหายไปทันทีเพราะไม่สามารถจัดงานได้ เริ่มฟื้นตั้วในปี 2565 มาถึงปี 2566 พูดได้ว่าธุรกิจอิเวนต์กลับมาแล้ว 90% เมื่อเทียบกับก่อนโควิด และปี 2567 จะเป็นปีที่ธุรกิจอิเวนต์เข้าสู่ภาวะปกติ จะได้เห็นมูลค่าตลาดรวมกลับมาที่ 15,000 ล้านบาทเหมือนก่อนโควิดอีกครั้ง
ธุรกิจอิเวนต์ กลุ่มหลักๆ ประกอบไปด้วย การจัดกิจกรรมการตลาดของสินค้าและแบรนด์ต่างๆ อิเวนต์บันเทิง คอนเสิร์ต เฟสติวัล, งานเทรดแฟร์, อิเวนต์ท่องเที่ยวในเทศกาลต่างๆ การประชุมสัมมนา ส่วนใหญ่กลับมาจัดเป็นปกติแล้ว เหลือเพียงกลุ่ม Exhibition ที่ยังชะลอตัว โดยเฉพาะตลาดจีน
ทิศทางธุรกิจอิเวนต์ปี 2567 ในมุมมองของ คุณเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) คาดว่าภาพรวมจะกลับมา 100% เหมือนก่อนโควิด ปี 2562 ด้วยมูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาท ถือเป็นยุค “ขาขึ้น” ของธุรกิจอิเวนต์
จากปัจจัยภาคเอกชนในกลุ่มอิเวนต์ มาร์เก็ตติ้ง ซึ่งมีสัดส่วนมากที่สุดในธุรกิจอิเวนต์ ได้จัดงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสื่อสารแบรนด์ การทำตลาดโปรโมชัน อีกกลุ่มที่มาแรง คือ อีเวนต์บันเทิง การจัดคอนเสิร์ต เฟสติวัล ทั้งศิลปินไทยและต่างชาติ ที่มีตารางทัวร์ในประเทศไทยทุกเดือน ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาต่อเนื่องปีนี้ นอกจากผู้ชมคนไทยแล้ว ยังมีผู้ชมจากประเทศใกล้เคียงเดินทางมาดูคอนเสิร์ตต่างชาติในไทยด้วย
อีกปัจจัยสำคัญกระตุ้นธุรกิจอิเวนต์ในปี 2567 คือ งบประมาณจากภาครัฐ ที่ใช้ได้เต็มปี หลังจากปีก่อนมีช่วงเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลล่าช้า ทำให้การใช้งบรัฐในกิจกรรมอิเวนต์ชะลอตัวไป อิเวนต์ภาครัฐที่ใช้งบประมาณหลักๆ คือ ด้านท่องเที่ยว ปีนี้รัฐวางแผนกระตุ้นท่องเที่ยวต่อเนื่อง โดยเฉพาะกิจกรรมใหญ่อย่าง “สงกรานต์” ที่จะจัดต่อเนื่องตลอด 1 เดือน ประเมินกันว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวราว 30,000 ล้านบาท
นอกจากนี้รัฐบาลมีนโยบายผลักดันเศรษฐกิจ Soft Power ในหลายด้าน ที่จะมีการจัดกิจกรรมอิเวนต์เพิ่มเข้ามาในปีนี้
อินเด็กซ์ฯ ตั้งเป้าโตแรง ทำรายได้ 1,433 ล้าน
สำหรับ “อินเด็กซ์ฯ” ที่ทำธุรกิจอิเวนต์มากว่า 30 ปี ได้รับผลกระทบจากโควิดเช่นกัน จากรายได้ปี 2562 (ก่อนโควิด) อยู่ที่ 1,380 ล้านบาท ปี 2563 ช่วงโควิด เหลือ 372 ล้านบาท กระทั่งปี 2566 กลับมาฟื้นตัวทำรายได้ 1,031 ล้านบาท เติบโต 7% จากปีก่อนหน้า
โดยมีธุรกิจ 3 กลุ่มหลัก คือ 1. Marketing Service สัดส่วนรายได้ 88% 2. Creative Business Development สัดส่วนรายได้ 4% และ 3. Own Creation (การสร้างอิเวนต์ประจำของอินเด็กซ์ฯ) สัดส่วนรายได้ 8%
กลุ่มลูกค้าหลักมาจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ประกันชีวิต ค้าปลีก แบรนด์ลักชัวรี สินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) รถยนต์ และ ธนาคาร
นอกจากนี้ได้สร้างสรรค์งานอิเวนต์ของตัวเอง (Own Creation) เช่น งานเมืองโบราณ ไลฟ์เฟส งาน Brewtopia งาน Village of Wonder (ดอยช้าง) ในจังหวัดเชียงราย งานแสดงคอนเสิร์ต Hugo เล่นของนอก
ปี 2567 อินเด็กซ์ฯ วางเป้าหมายรายได้ 1,433 ล้านบาท เติบโต 39% เทียบปีก่อน สัดส่วนรายได้มาจาก Marketing Service 75% Own Creation 16% (เพิ่มขึ้นเท่าตัวจากปี 2566) และ Creative Business Development 9%
กลยุทธ์การทำอิเวนต์ในปีนี้ โฟกัสไปที่ Impressive & Immersive Experience จากกระแสผู้บริโภคปัจจุบันมองหาประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น การจัดอิเวนต์จึงเป็นจุดที่สำคัญสร้างประสบการณ์ที่ดี ให้แก่ผู้บริโภคและช่วยสื่อสารเรื่องราวไปสู่ผู้บริโภคได้แบบเรียลไทม์ สร้างความแตกต่างให้ลูกค้าและผู้ร่วมชมงานแสดงให้ได้ทุกประสบการณ์ ทั้งรูปร่าง รสชาติ กลิ่น เสียง และการสัมผัส รวมทั้งการนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ในการแสดงอิเวนต์ เป็นการสร้างความแตกต่างให้กับการจัดอิเวนต์ เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค
อีกไฮไลต์ของอินเด็กซ์ฯ ในปีนี้ คือ การจัดงานเทรดโชว์ ทั้งในไทยและต่างประเทศ
– มิถุนายน งาน Singapore International Water Week (งานใหม่) จัดประเทศสิงคโปร์
– สิงหาคม จัด 3 งาน Health & Beauty, Food Plus Expo และ Architech & Decor ในประเทศกัมพูชา
– ตุลาคม งาน IWF (งานใหม่) ประเทศไทย
– พฤศจิกายน งาน Thailand Mega Fair 2023 (จัดเป็นปีที่ 2) ณ กรุงริยาด ประเทศซาอุดีอาระเบีย
ปี 2567 จะเห็นการเติบโต ทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจอิเวนต์ โดยให้น้ำหนักกับการสร้างอิเวนต์และงานเทรดแฟร์ของตัวเองมากขึ้น เพื่อสร้างอีกแหล่งรายได้ประจำ ตามแผนธุรกิจของอินเด็กซ์ฯ จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ในปี 2568
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE
อ่านเพิ่มเติม