
หากย้อนดูงบโฆษณาสื่อดิจิทัล (ออนไลน์) ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เติบโตเป็นตัวเลขสองหลักทุกปี (ยกเว้นปี 2563 ช่วงโควิด) ขณะที่สื่อดั้งเดิม ไม่ว่าจะเป็น สิ่งพิมพ์ วิทยุ ทีวี อยู่ในช่วงขาลง จากพฤติกรรมผู้บริโภคเสพสื่อออนไลน์เป็นหลัก
จากการวิเคราะห์ตัวเลขเม็ดเงินโฆษณาของ MI GROUP สรุปปี 2566 อุตสาหกรรมโฆษณามีมูลค่า 84,532 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.4% โดยมี 3 สื่อหลักครองเม็ดเงินโฆษณาสูงสุด
– สื่อทีวีและสื่อดั้งเดิมอื่นๆ (สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โรงภาพยนต์) สัดส่วน 50%
– สื่อดิจิทัล สัดส่วน 35%
– สื่อนอกบ้าน (Out of Home & Transit Media) สัดสวน 15%
ส่วนทิศทางอุตสาหกรรมโฆษณาปี 2567 คุณภวัต เรืองเดชวรชัย ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทมีเดีย อินเทลลิเจนซ์ จำกัด หรือ MI GROUP คาดการณ์ภาพรวมเม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารการตลาดจะบวกขึ้นเล็กน้อยประมาณ 4% มีมูลค่า 88,000 ล้านบาท
โดยมาจากปัจจัยบวกการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ที่เกิดจากการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจีน ปริมาณนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้าไทยเพิ่มขึ้น คาดแตะ 31.5 ล้านคน สถานการณ์ทางการเมืองนิ่ง และนโยบายรัฐที่เน้นกระตุ้นเศรษฐกิจ อาทิ ลดค่าครองชีพ เพิ่มค่าแรงขั้นต่ำ เพิ่มเงินเดือนข้าราชการ และดิจิทัลวอลเล็ต เป็นต้น
ปี 2567 ต้องจับตาจุดเปลี่ยนสำคัญ โดย MI GROUP ประเมินสัดส่วนเม็ดเงินของสื่อหลักเปลี่ยนไปจากเดิม โดยสื่อดิจิทัล สัดส่วน 45% ตามด้วยสื่อทีวีและสื่อดั้งเดิมอื่นๆ (สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โรงภาพยนต์) อยู่ที่ 35% และสื่อนอกบ้าน 20%
โดยถือเป็นปีแรก ที่สื่อดิจิทัล ครองสัดส่วนอันดับหนึ่งในอุตสาหกรรมโฆษณา แซงหน้าสื่อทีวี ที่อยู่อันดับหนึ่งมายาวนานกว่า 30 ปี (นับตั้งแต่เริ่มจัดเก็บตัวเลขเม็ดเงินโฆษณา)
จากเทรนด์การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-driven Marketing) และเทคโนโลยีการตลาด (MarTech) ที่เข้ามามีบทบาทมากขึ้นในปัจจุบัน และจะมากยิ่งขึ้นในอนาคต อาจจะส่งผลให้เม็ดเงินโฆษณาและสื่อสารทางการตลาด เติบโตอย่างชะลอตัว เพราะเทคโนโลยีทำให้การลงโฆษณาแม่นยำขึ้น โดยไม่ต้องหว่านเม็ดเงินโฆษณากระจายหลายสื่อ นอกจากนี้สัดส่วนของ “สื่อหลัก” เริ่มมีทิศทางที่นิ่งขึ้น
มองว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หรือในปี 2568-2569 สื่อดิจิทัล จะครองสัดส่วนเม็ดเงินโฆษณาสูงถึง 50% ตามด้วยสื่อนอกบ้าน 30% ที่ยังมีจุดขายและสื่อดิจิทัลทดแทนไม่ได้ ขณะที่สื่อทีวีสื่อดั้งเดิมอื่นๆ (สื่อสิ่งพิมพ์ วิทยุ โรงภาพยนต์) สัดส่วนเหลือ 20%
หากมองภาพรวมอุตสาหกรรมสื่อในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา พบการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน 3 เรื่องหลักดังนี้
1. TikTok กลายเป็นแพลตฟอร์มทรงพลัง ทั้ง 3 ด้านคือ Social, Content Discovery, E-commerce เป็นคู่แข่งขันหลักของ Social Platform อย่าง Meta (เฟซบุ๊ก) และ Market Place อย่าง Shopee และ Lazada จากจำนวนผู้ใช้งานแอคทีฟ 40 ล้านราย (จาก 50 ล้านรายดาวน์โหลดแอพ) จึงกลายเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ที่สร้างเอนเกจเมนท์กับผู้บริโภคได้ดี และสามารถปิดการขายได้ดี จากโมเดลธุรกิจแบบ Affiliate ที่ได้รับความสนใจจากแบรนด์สินค้า
2. More & More Fragmented World จำนวนแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชันจะหลากหลายมากขึ้น ไม่มีแพลตฟอร์มหรือแอปพลิเคชันไหนครอบคลุมผู้ใช้งานได้ครบทุกกลุ่ม เพราะแต่ละ Gen จะใช้แพลตฟอร์มโซเชียลและช้อปปิ้งออนไลน์ แตกต่างกัน นักการตลาดจึงต้องใช้เทคโนโลยีการตลาด เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแต่ละ Gen ได้อย่างแม่นยำ
3. Changing Consumer Sentiment มุมมอง ความรู้สึกนึกคิดของผู้บริโภค เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากและยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง โดยมีความลังเล วิตกกังวล จาก Information Overload นอกจากนี้โครงสร้างความเหลื่อมล้ำของสังคม ทำให้มีสองกลุ่ม คือ “คนรวย” และ “คนจน” จึงเกิดเป็นสองขั้วของการเลือกจับจ่ายซื้อสินค้า ไม่มีตรงกลาง คือ จะเลือกแบรนด์พรีเมียม (High Perceived Value) หรือ แบรด์ที่เน้นราคาถูก (Value For Money) คุ้มค่าเมื่อเปรียบเทียบกับแบรนด์คู่แข่งในท้องตลาด
นอกจากนี้ยังเห็นพฤติกรรมความกังวลว่าควรเชื่อข้อมูลอะไร ไม่เชื่ออะไร (Fake News) จนบางครั้งเกิดอาการเหนื่อยล้าจากการใช้งานโซเชียลมีเดีย และอยากถอนตัวออกมา หรือเรียกว่า Zero Online Presence เพื่อหา safe zone โดยหันไปแทรกตัวตนใน COMMUNITY กลุ่มคนที่มีความชื่นชอบเหมือนกัน เช่น COMMUNITY ที่เกิดขึ้นในแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ที่กลายเป็นส่วนสำคัญและมีอิทธิพลอย่างสูงต่อการใช้ชีวิต การจับจ่ายใช้สอย ของคนในยุคนี้
ในปี 2567 หมวดสินค้าและบริการที่คาดว่าจะคึกคักและมีการใช้งบโฆษณาและการสื่อสารเพิ่มขึ้นมี 6 กลุ่ม
1. Personal Care & Beauty มูลค่า 15,227 ล้านบาท
2. Health & Wellness มูลค่า 5,346 ล้านบาท
3. Automotive มูลค่า 3,633 ล้านบาท
4. Travel & Leisure มูลค่า 2,706 ล้านบาท
5. Finance & Credit Card มูลค่า 2,062 ล้านบาท
6. Pet Foods & Care มูลค่า 451 ล้านบาท
โดยทั้ง 6 อุตสาหกรรมดังกล่าวสะท้อนเทรนด์พฤติกรรมผู้บริโภค ทั้งการดูแลสุขภาพตัวเองให้ปลอดภัยจากโรคและมลพิษ เทรนด์รถยนต์ไฟฟ้า การเลี้ยงสัตว์แทนลูก การท่องเที่ยวพักผ่อน และการที่เศรษฐกิจเริ่มมีปัจจัยบวก ทำให้ผู้บริโภคเริ่มอยากจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งเทรนด์ซื้อก่อนจ่ายทีหลังจะชัดเจนขึ้นในปีนี้ โดยโฆษณาสินเชื่อที่ออกใหม่ในปีนี้ จะต้องมีข้อความ “กู้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้” อยู่ในโฆษณาตามเกณฑ์ของแบงค์ชาติด้วย
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE
อ่านเพิ่มเติม




