HomeBrand Move !!‘สิงห์ เอสเตท’ ย้ำตัวจริงตลาดลักชัวรี่ ลุยบ้านหรู 100 ล้าน ปี 67 ปั้นรายได้ 4 ธุรกิจ 1.8 หมื่นล้าน 

‘สิงห์ เอสเตท’ ย้ำตัวจริงตลาดลักชัวรี่ ลุยบ้านหรู 100 ล้าน ปี 67 ปั้นรายได้ 4 ธุรกิจ 1.8 หมื่นล้าน 

แชร์ :

ก้าวสู่ปีที่ 10  ของ “สิงห์ เอสเตท”  ตอกย้ำการเป็นผู้นำที่อยู่อาศัยกลุ่มลักชัวรี่ ต่อยอดความสำเร็จจากผลงานมาสเตอร์พีซ “สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” ในกลุ่ม Ultra Luxury โฟกัสบ้านหรู 4 เซกเมนต์ ราคา 15 – 500 ล้านบาท ตลาดที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจและยังไปต่อได้

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

เป้าหมายของ “สิงห์ เอสเตท” ในปี 2567  ทำรายได้ 18,000 ล้านบาท เติบโต 20% จาก 4 ธุรกิจหลัก คือ ธุรกิจที่พักอาศัย ธุรกิจโรงแรม (ภายใต้การบริหารงานของ SHR) อาคารสำนักงานเช่า และนิคมอุตสาหกรรม

คุณฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท กล่าวว่าธุรกิจที่พักอาศัย เป็นตลาดที่ สิงห์ เอสเตท เชี่ยวชาญในกลุ่มลักชัวรี่ เริ่มสร้างชื่อจากโครงการแรก “สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส”  จากนั้นขยายตลาดไปทุกเซกเมนต์ของกลุ่มบ้านหรู พัฒนาโครงการที่เริ่มตั้งแต่แนวคิด โลเคชั่น ดีไซน์ และองค์ประกอบทั้งหมด  ทำให้ DNA ในเซกเมนต์ ลักชัวรี่ มีความชัดเจนและ  “เป็นตัวจริง” ในตลาดบ้านหรู โดยมี 4 กลุ่มดังนี้

Ultra Luxury แบรนด์  สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส, ลาซัวว์ เดอ เอส (La Soie de S) ราคา 100 ล้านบาทขึ้นไป

Super Luxury แบรนด์ ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส, SMYTH’S ราคา 50-100 ล้านบาท

Premium Luxury แบรนด์ S’RIN ราคา 30-49 ล้านบาท

Luxury แบรนด์ SHAWN, SENTRE ราคา 15-49 ล้านบาท

ปี 2567 เปิดตัว 4 โครงการใหม่รวมมูลค่า 9,400 ล้านบาท ประกอบด้วยบ้านหรู 2 โครงการ S’RIN ทำเลพรานนก และ  SMYTH’S  รูปแบบ Cluster Home  ทำเล เกษตร – นวมินทร์ ที่ดิน 5 ไร่ จำนวน 10 ยูนิต เริ่มต้น 100 ล้านบาท

คอนโดมิเนียม 2 โครงการ ทำเล พระราม 3 ราคาเริ่มต้น 12 ล้านบาท (ราคา 150,000-180,000 บาทต่อตารางเมตร)  และทำเลศรีราชา เจาะกลุ่มลงทุนปล่อยเช่าต่างชาติทำงานใน EEC ราคา 3 ล้านบาท เฟสแรกใช้ที่ดิน 2.5 ไร่  โดยมีที่ดินทั้งหมด 25 ไร่

“ธุรกิจโรงแรม” ภายใต้การบริหารงานของ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR)  ปัจจุบันมีโรงแรมอยู่ใน 5 ประเทศ และในไทย 4 แห่ง ปีนี้มีแผนรีโนเวท 5 โรงแรมทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้เพิ่มราคาเฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPAR) ได้มากกว่า 25% รวมถึงแผนการเสริมการให้บริการด้านอื่น ๆ ให้สอดคล้องกับการยกระดับห้องพักที่จะสร้างรายได้เพิ่มเติม นอกเหนือจากรายได้การเข้าพัก (Non-Room Revenue) จากการใช้จ่ายต่อคนในการใช้บริการภายในโรงแรมเพิ่มขึ้นอีก 15%

นอกจากนี้จะต่อยอดแบรนด์ ทราย (SAii) แบรนด์โรงแรมที่สร้างเอง ด้วยการนำแบรนด์ไปให้บริการบริหารโรงแรมของนักลงทุนอื่น ๆ  รวมทั้งโอกาสซื้อกิจการโรงแรม (M&A) ในทำเลที่มีศักภาพในต่างประเทศ เพื่อสร้าง Economies of scale ธุรกิจโรงแรมให้ใหญ่ขึ้นและบริหารด้วยต้นทุนที่ต่ำลง

“ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า” หรืออาคารสำนักงานเช่า ประกอบไปด้วย อาคารซันทาวเวอร์, เอส โอเอซิส, สิงห์ คอมเพล็กซ์  และเอส เมโทร พื้นที่รวม 170,000 ตารางเมตร ปัจจุบันมีอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย 85%

“ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน”   มีนิคมอุตสาหกรรม “เอส อ่างทอง” พื้นที่รวม 2,000 ไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ขาย 1,000 ไร่ และพื้นที่สาธารณูปโภค 1,000 ไร่  ปีนี้ตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ที่ดิน 40% ของพื้นที่ขายโดยใช้ทำเลยุทธศาสตร์ที่เป็นจุดศูนย์กลางระหว่างแหล่งวัตถุดิบและเส้นทางการขนส่ง ความพร้อมด้านระบบสาธารณูปโภคทั้งกำลังการผลิตกระแสไฟฟ้าที่มีสูงถึง 400 MW และปริมาณน้ำซึ่งเป็นหัวใจสำคัญสำหรับผู้ประกอบการเฉพาะทาง อาทิ กลุ่ม Semi-Conductor หรือ กลุ่ม Data Center นอกเหนือจากธุรกิจทางด้านอาหาร และความร่วมมือกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.)

ปี 2567 “สิงห์ เอสเตท” ตั้งเป้าหมายรายได้ 18,000 ล้านบาท เติบโต 20% มาจากธุรกิจโรงแรม 60%  ที่พักอาศัย 30%  อาคารสำนักงาน 7%  และนิคมอุตสาหกรรม 3%

ติดตามพวกเราได้ที่ LINE

อ่านเพิ่มเติม


แชร์ :

You may also like