หลังผ่านสถานการณ์โควิดกับตัวเลขขาดทุนในปี 2563-2564 บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ MINT กลับมาโชว์กำไรอีกครั้งในปี 2565 และล่าสุดปี 2566 ด้วยผลกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเติบโต 3 เท่า ที่ 7,132 ล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท (All time high)
การฟื้นตัวแรงของ ไมเนอร์มาจากการเป็นผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมการบริการและการท่องเที่ยวที่มีธุรกิจใน 63 ประเทศ MINT โดยเฉพาะตลาดยุโรป เอเชีย รวมทั้งการเติบโตของตัวเลขนักท่องเที่ยวในประเทศไทย สรุปตัวเลขทุบสถิติปี 2566 และแผนธุรกิจ 3 ปี ของ “ไมเนอร์” ดังนี้
ปี 2566 กำไรนิวไฮ 7,132 ล้านบาท
– ไมเนอร์ มีพอร์ตโฟลิโอธุรกิจหลักคือท่องเที่ยว (โรงแรม) และร้านอาหาร ปี 2566 มีรายได้ทั้ง 2 กลุ่ม อยู่ที่ 153,486 ล้านบาท เติบโต 22% กำไรสุทธิจากการดำเนินงานเติบโต 3 เท่า อยูที่ 7,132 ล้านบาท เป็นสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของไมเนอร์
– สิ้นปี 2566 มีโรงแรมที่ลงทุนเอง จำนวน 365 แห่ง (จำนวน 56,736 ห้อง) มีโรงแรมและเซอร์วิสสวีทที่รับจ้างบริหาร 167 แห่ง (จำนวน 21,517 ห้อง) ใน 55 ประเทศ รวมจำนวนห้องพัก 78,253 ห้อง ภายใต้แบรนด์ อนันตรา, อวานี, โอ๊คส์, ทิโวลี, เอ็นเอช คอลเลคชั่น, เอ็นเอช, นาว และเอเลวาน่า คอลเลคชั่น โรงแรมในประเทศไทยมีจำนวน 5,124 ห้อง สัดส่วน 7%
– ธุรกิจโรงแรม “ไมเนอร์ โฮเทลส์” มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) สูงกว่าปี 2565 ถึง 30% และสูงกว่าก่อนโควิดปี 2562 ถึง 31%
– ธุรกิจอาหาร “ไมเนอร์ ฟู้ด” รายงานยอดขายโดยรวมทุกสาขาในปี 2566 เติบโต 11% โดยได้แรงหนุนจากการฟื้นตัวของกิจกรรมการรับประทานอาหารภายในร้าน ตลอดจนกลยุทธ์ด้านการเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ และการตลาดของธุรกิจในทุกประเทศ
วางงบลงทุน 3 ปี รวม 30,000 ล้าน
– หลังจากชะลอการลงทุนในช่วงโควิดเพื่อรักษาสภาพคล่อง ไมเนอร์ ได้เริ่มกลับมาลงทุนอีกครั้ง จากดีมานด์ท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น วางงบลงทุน 3 ปี (2567-2569) ไว้ที่ 30,000 ล้านบาท
– โดยจะขยายโรงแรมอีก 200 แห่ง จาก 530 แห่ง เป็น 780 แห่ง และขยายร้านอาหารเพิ่มอีก 1,000 สาขา จาก 2,600 สาขา เป็น 3,700 สาขา
– เฉพาะปี 2567 วางงบลงทุน 10,000-13,000 ล้านบาท สัดส่วนลงทุนในโรงแรม 70% และธุรกิจอาหาร 30%
– กลุ่มโรงแรมเน้นการรีโนเวท, Repositioning และรีแบรนด์ บางโรงแรมเพื่ออัพเกรดราคาห้องพักให้สูงขึ้น เช่น อนันตราและทิโวลี ในยุโรป ปี 2566 ทำไปแล้ว 20 โรงแรม ในอีก 2 ปีข้างหน้าจะทำอีก 30 โรงแรม
– กลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ที่ไมเนอร์ ได้ซื้อกิจการมาอย่าง Sizzler และเข้าร่วมถือหุ้นในร้านชานมไข่มุก GAGA จะขยายสาขามากขึ้น รวมทั้งการนำแบรนด์ไปขยายแฟรนไชส์ในต่างประเทศ สนใจขยายทั้งในเอเชีย โดยเฉพาะ จีน อินเดีย อินโดนีเซีย เนื่องจากมีประชากรจำนวนมาก รวมทั้งตะวันออกกลาง ออสเตรเลีย
– ปีนี้แบรนด์ “แดรี่ควีน” จะบุกอินโดนีเซียมากขึ้น จากปัจจุบันมี 19 สาขา ในอีก 3 ปี จะเพิ่มเป็น 10 เท่า รวมทั้งจะนำแบรนด์ GAGA เข้าไปขยายตลาดด้วย ส่วน “เวียดนาม” ได้นำแบรนด์ Sizzler ไปเปิดแล้ว ส่วน Coffee Club และ เดอะ พิซซ่า คอมปะนี เปิดในสิงคโปร์
– จากแผนขยายธุรกิจ 3 ปี ไมเนอร์ ต้องการเห็นรายได้เติบโต 8-10% ต่อปี ขณะที่กำไรสุทธิจะเติบโต 15-20% ต่อปี จากความสามารถทำกำไรเพิ่มขึ้นของทั้งธุรกิจโรงแรมและร้านอาหาร
เดินหน้าลดภาระหนี้แสนล้าน
– ภายใน 3 ปี ไมเนอร์ มีแผนลดส่วนหนี้สินสุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษีเงินได้ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (Net Debt to EBITDA) ให้เหลือ 4.3 เท่า จากปัจจุบันที่ 6 เท่า ภายใน 3 ปี
– ปี 2566 มีหนี้สินรวม 100,000 ล้านบาท มีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) 1 เท่า สิ้นปี 2567 จะทำให้ D/E ลดลงมาอยู่ที่ 0.8 เท่า ตัวเลขหนี้สินลดเหลือ 90,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้อัตราทำกำไรเพิ่มขึ้น
ชูกลยุทธ์ Asset Light ลดลงทุน
– การลงทุนและบริหารธุรกิจของไมเนอร์ ตามแผน 3 ปี จะใช้กลยุทธ์ Asset Light คือ ไม่ต้องลงทุนเอง ในกลุ่มโรงแรมจะรับจ้างบริหารโรงแรมภายใต้แบรนด์พอร์ตโฟลิโอของกลุ่มไมเนอร์ ที่มีความแข็งแกร่ง ทำให้ธุรกิจโรงแรมเติบโตโดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก จะขยายใน จีน ตะวันออกกลาง ละตินอเมริกา
– ใน 3 ปีนี้ ไมเนอร์ตั้งเป้ารับบริหารโรงแรมมากกว่า 150 แห่ง คิดเป็นสัดส่วน 40% ของธุรกิจโรงแรม จากปัจจุบันอยู่ที่ 20%
– ส่วนกลยุทธ์ Asset Light ธุรกิจร้านอาหารจะขยายในรูปแบบแฟรนไชส์
คุณดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มองแนวโน้มอุตสาหกรรมท่องเที่ยวปี 2567 มีดีมานด์จากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นสูงมาก จากปี 2562 ก่อนโควิดมีนักท่องเที่ยวต่างชาติอยู่ที่ 40 ล้านคน ปี 2567 คาดว่าจะเกิน 35 ล้านคน เป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีกำลังจับจ่ายสูงขึ้น
ไตรมาสแรกปีนี้ ไมเนอร์มียอดจองโรงแรมสูงกว่าปี 2566 ในไทยเพิ่มขึ้น 40% ยุโรปเพิ่มขึ้น 20% ธุรกิจท่องเที่ยวในทุกภูมิภาคทั้ง เอเชีย ตะวันออกกลาง ยุโรป มีแนวโน้มดีขึ้นทั้งหมด เช่นเดียวกับธุรกิจร้านอาหารก็เติบโตดี จากสินค้าใหม่และแคมเปญการตลาด มีแบรนด์ “แดรี่ควีนและสเวนเซนส์” ที่เติบโตดีมาก
ปีนี้ “ไมเนอร์” มองว่าเป็นอีกปีที่ดี และกำไรสร้างสถิติใหม่อีกปี
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE
อ่านเพิ่มเติม