ช่วงหลังๆ มานี้ เราจะเห็นครีเอทีฟหรือคนในวงการโฆษณาแยกตัวออกมาตั้งบริษัทเอเยนซี่ขนาดเล็กของตัวเองกันมากขึ้น เพื่อสร้างสรรค์งานในรูปแบบใหม่ แต่การจะอยู่รอดและสร้างการเติบโตไปได้ไกลท่ามกลางการแข่งขันกันอย่างดุเดือด ทั้งยังถูกท้าทายด้วย Digital Disruption รวมถึงสถานการณ์อุตสาหกรรมและพฤติกรรมการเสพคอนเทนต์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป นอกจาก Creativity ที่สดใหม่แล้ว การมี “โมเดลธุรกิจ” ที่ดี ก็เป็นหัวใจสำคัญที่จะผลักดันให้ธุรกิจเอเยนซี่เติบโตในระยะยาวเช่นกัน
ดังเช่นกรณีศึกษาเอเยนซี่เล็กๆ อย่าง “KAN Bangkok” แม้จะเป็นน้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้เพียง 6 ปี แต่โมเดลธุรกิจที่แตกต่างจากคู่แข่ง ด้วยการดำเนินธุรกิจในแบบ Holding Company ส่งผลให้ KAN Bangkok สามารถก้าวข้ามวิกฤต และวันนี้เติบโตจนมี 3 บริษัทในเครือ หลายคนอาจยังเห็นภาพไม่ชัดว่าการเป็น Holding Company ช่วยให้ KAN Bangkok แจ้งเกิดและยืนหยัดบนถนนสายนี้ได้อย่างไร Brand Buffet พาไปทำความรู้จักกับตัวตนของเอเยนซี่แห่งนี้ให้มากขึ้นผ่านมุมมองและวิธีคิดของ “คุณเก้ง-ศราวุฒ ธูปะวิโรจน์” ผู้ก่อตั้ง KAN Bangkok พร้อมเจาะลึกยุทธศาสตร์ที่ตั้งเป้าพาเอเยนซี่ไทยแห่งนี้ไปโลดแล่นในต่างประเทศภายใน 3 ปี
จาก Pain Point การทำงาน สู่การปั้น KAN Bangkok ให้เป็น Creative Hub
แม้ชื่อของ KAN Bangkok จะเป็นน้องใหม่ในวงการโฆษณา แต่ คุณศราวุฒ เป็นคนที่คร่ำหวอดในแวดวงเอเยนซี่มายาวนาน ทั้งยังผ่านการทำงานกับเอเยนซี่ขนาดใหญ่มามากมาย โดยก่อนหน้านี้เคยดำรงตำแหน่ง Head of Social ที่ Ogilvy & Mather จึงเห็นจุดอ่อนของการทำงานหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ เวลาจะทรานส์ฟอร์มหรือทดลองทำอะไรสักอย่าง ค่อนข้างช้า เพราะมีบุคลากรจำนวนมาก ประกอบกับไม่อยากทำงานแบบ One Single Silo เพราะมองว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นเรื่องความหลากหลาย รวมทั้งโจทย์ของลูกค้าก็ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
ในปี 2560 จึงตัดสินใจออกมาเปิด Group Company ของตัวเองในชื่อ KAN Bangkok โดยที่มาของชื่อนั้น คุณศราวุฒ บอกว่า มาจากคำว่า “CAN” (แคน) เพราะเชื่อว่าสามารถทำได้ เพราะอุตสาหกรรมความคิดสร้างสรรค์ของไทยสามารถแข่งขันและสู้ต่างชาติได้ จะเห็นได้จากผลงานโฆษณาไทยคว้ารางวัลมากมายบนเวทีระดับโลก เพียงแต่อาจจะไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนที่เหมาะสมและมากพอ จึงตั้งใจตั้งชื่อว่า KAN เพื่อสื่อถึงความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ของคนไทย และต้องการสร้าง Ecosystem ให้กับวงการครีเอทีฟไทยให้เกิดขึ้น
คุณศราวุฒ บอกว่า การแข่งขันของวงการเอเยนซี่มีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อ 6 ปีที่แล้ว เป็นยุคที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเริ่มบูม ส่งผลให้วงการโฆษณาในช่วงนั้นเกิด Digital Agency และ Local Agency เล็กๆ เป็นจำนวนมาก แต่ KAN Bangkok ไม่ได้เป็นเอเยนซี่โฆษณาหรือสื่อสารการตลาด แต่วางตัวเองเป็น “Creative Hub” โดยรวมบริษัทเอเยนซี่เล็กๆ ที่มีความเชื่อเหมือนกันว่าสามารถทำได้ เพื่อนำความคิดสร้างสรรค์มาช่วยลูกค้าแก้ปัญหา ขณะเดียวกัน ยังทำหน้าที่เป็น “Holding Company” เพื่อคอยเสาะหาโซลูชันและนวัตกรรมใหม่ ๆ มาเสริมการทำงานของบริษัทในเครือให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“โมเดลนี้จะช่วยให้เราทดลองทำ Business Model ใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น แถมยังกระจายความเสี่ยงเมื่อเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้น จะไม่ส่งผลกระทบกับบริษัทในเครือ อีกทั้งสามารถ Share Resource ซึ่งกันและกันได้ ทำให้ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าที่มีความหลากหลายในปัจจุบันได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะงานสเกลเล็ก และสเกลใหญ่” คุณศราวุฒ บอกเหตุผลที่เลือกวางบทบาทเป็น Holding Company ซึ่งทำให้ KAN Bangkok แตกต่างจากคู่แข่งขันในตลาด
รวมพลคนที่มีความเชื่อเหมือนกัน สร้างโซลูชันและบริการที่แตกต่าง
คุณศราวุฒ บอกว่า สำหรับโมเดลธุรกิจรูปแบบนี้ ในไทยยังไม่ค่อยเห็นเอเยนซี่ไหนนำมาใช้มากนัก เพราะทำยาก เนื่องจากต้องใช้พลังและเวลา แต่ในต่างประเทศมีหลายเอเยนซี่ที่ใช้โมเดลนี้ เพราะสามารถต่อยอดความคิดสร้างสรรค์ไปได้ไกล โดยการเปิด Group Company ในช่วงแรกจะเป็นการรวม 3 เอเยนซี่น้องใหม่อย่าง Creative Headquarter (CHQ), ISM และ STIRR เพื่อสร้างสรรค์ชิ้นงานที่แตกต่างจากสิ่งเดิมๆ
โดยในช่วง 2 ปีแรก ไปได้ดีมาก และเติบโตตามแผนที่วางไว้ จน STIRR และ ISM ขอสปินบริษัทออกมา จากนั้นก็มาเจอวิกฤตโควิด-19 ทำให้ต้องกลับมาตั้งหลัก กระทั่ง CHQ แข็งแรง อีก 3 ปีต่อมา จึงตัดสินใจเปิดบริษัทเอเยนซี่อีก 2 แห่ง ส่งผลให้ปัจจุบัน KAN Bangkok มี 3 บริษัทย่อยในเครือ คือ CHQ, ABLE Bangkok และ RATS Bangkok
แม้จะเป็นการรวมบริษัทเอเยนซี่เล็กๆ เข้าด้วยกัน ทว่าแต่ละบริษัทก็มีจุดแข็งแตกต่างกัน โดย CHQ เป็น Branding Agency ที่ให้คำปรึกษาครบวงจรกับลูกค้า โดยใช้ความรู้ด้านแพลนนิ่ง และครีเอทีฟ มาผสมผสาน เพื่อนำเสนอโซลูชันที่เหมาะกับลูกค้า ส่วน ABLE Bangkok เป็นเอเยนซี่ที่เชี่ยวชาญในเรื่องการนำดีไซน์มาช่วยแก้โจทย์ทางการตลาด และ RATS Bangkok เป็นเอเยนซี่เล็กๆ ที่พร้อมจะตัวเลอะและเจาะลึกถึงปัญหา เพื่อให้ได้ไอเดียและรูปแบบการสื่อสารที่สดใหม่ ฉีกจากท่ามาตรฐานเดิมๆ ที่เคยมีมาก่อน
เมื่อรวม 3 เอเยนซี่นี้เข้าด้วยกัน ทำให้สามารถสร้างโซลูชันที่หลากหลายมาช่วยลูกค้าแก้ปัญหาทางการตลาดได้ทุกมิติ ในขณะเดียวกันหากไม่มีโซลูชันที่เหมาะสมพอ คนในทีมสามารถทำ Business Model มา Pitching เพื่อขอ Funding กับบริษัทได้ ซึ่งแต่ละปีละบริษัทจะตั้งงบลงทุนไว้ไม่ต่ำกว่า 5 ล้านบาท ทำให้บริษัทย่อยในเครือสร้างบริการหรือโซลูชันใหม่ๆ มาแก้ Pain ให้กับลูกค้าได้ตรงจุดยิ่งขึ้น
ในขณะที่บริษัทก็ได้โซลูชันใหม่มาเสริมทัพ และทำให้ KAN Bangkok สามารถแจ้งเกิด รวมถึงมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้ต้องเจอกับวิกฤติและคู่แข่งจำนวนมากในตลาด และถึงวันนี้ลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการตั้งแต่วันแรก กว่า 70% ยังคงกลับมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง
ตั้งเป้า 3 ปีพาเอเยนซี่ไทยโตไกลในเวทีระดับโลก
แม้ KAN Bangkok จะสามารถแจ้งเกิดและเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง แต่คุณศราวุฒ ยอมรับว่า วงการเอเยนซี่ในยุคนี้ต้องเผชิญกับความท้าทายสูงขึ้น ทั้งแรงกดดันจากแบรนด์ที่มีความต้องการซับซ้อนขึ้น ใช้เม็ดเงินน้อยลง และต้องการงานเร็วขึ้นกว่าเดิม จึงสร้างแรงกดดันให้กับคนทำงาน รวมทั้ง Media Landscape และพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป ดังนั้น นอกจากการมีโมเดลธุรกิจที่แตกต่างแล้ว KAN Bangkok ต้องปรับตัวเอง และทำตัวเองให้เด็กลงตลอดเวลา รวมถึงให้ความสำคัญกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดีด้วย โดย Culture ของที่นี่จะเน้นให้คนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและพัฒนาองค์กรไปพร้อมกัน ซึ่งจะทำให้ครีเอทีฟสนุกกับการทำงาน และผลงานก็ออกมาดีด้วย
“เราต้องไม่ยึดติดกับความสำเร็จที่เคยมีมา ไม่อย่างนั้นเราจะทำซ้ำแบบเดิมที่เคยทำมา ธุรกิจความคิดสร้างสรรค์ไม่ได้เป็นอุตสาหกรรมโรงงานที่ผลิตของอย่างหนึ่งแล้วจะทำซ้ำแบบเดิม ทุกงานที่ทำคือเรื่องใหม่ ดังนั้น เวลาเราเจอสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เราต้องปรับตัวให้สนุกไปพร้อมกับมัน ถ้าเราเป็นคนที่ไม่หยุด Adapt บนความเชื่อว่างานความคิดสร้างสรรค์ไปช่วยแก้ปัญหาได้ ไม่ว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไปแค่ไหน เราจะสามารถปรับตัวและสนุกไปกับมัน”
กว่า 6 ปี กับการปั้นบริษัทเอเยนซี่ของตัวเอง คุณศราวุฒ บอกว่า ค่อนข้างพอใจ แม้จะเติบโตช้ากว่าแผนที่วางไว้ แต่ก็ทำให้ก้าวเดินอย่างมั่นคงมากขึ้น ซึ่งทิศทางต่อจากนี้ของ KAN Bangkok จะเห็นภาพการทำงานชัดขึ้น พร้อมทั้งต้องการจะขยับตัวเองจากการเป็นแค่บริษัทเอเยนซี่โฆษณาไปสู่ธุรกิจ Creative Economy ที่สามารถนำความคิดสร้างสรรค์ไปสร้างโปรดักส์และพัฒนาเศรษฐกิจด้านความคิดสร้างสรรค์ได้ โดยภายใน 3 ปี ตั้งเป้าจะพาเอเยนซี่ไทยเล็กๆ แห่งนี้ไปเติบโตในเวทีต่างประเทศ
โดยสเตปแรกจะเริ่มด้วยการขยายไปรับงานลูกค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อน หากตลาดไปได้ สเตปต่อไปอาจจะเข้าไปซื้อบริษัทในต่างประเทศเข้ามาอยู่ในกรุ๊ปเพิ่มขึ้น หรืออาจจะเปิดบริษัทในต่างประเทศ
“เราอยากลองทำและอยากทำให้มันเกิดให้ได้ เพราะผมอยากให้บริษัทนี้เป็นบริษัทที่สร้างให้คนไทยที่มีศักยภาพได้เติบโตไปกับธุรกิจครีเอทีฟ ซึ่งการจะทำสิ่งเหล่านี้นั้นไม่ง่าย ต้องใช้ทั้งคนที่มีคุณภาพ และเวลานานกว่า แต่เมื่อเราค่อยๆ แข็งแรง เราก็จะเติบโตอย่างมั่นคง”
KAN Bangkok จึงเป็นอีกหนึ่งบริษัทเอเยนซี่ไทยที่มีโมเดลธุรกิจและวิธีคิดที่น่าสนใจ เพราะหากพวกเขาสามารถทำได้สำเร็จ จะทำให้ธุรกิจความคิดสร้างสรรค์ของไทยเติบโตและก้าวไปไกลในต่างประเทศอย่างแน่นอน