จากเป้าหมายทางธุรกิจของ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี (PTG) ที่ตั้งเป้า ครองส่วนแบ่งการตลาดน้ำมันผ่านช่องทางสถานีบริการมากกว่า 25% ผ่าน 3 กลยุทธ์ ได้แก่ 1) Expansion & Renovation 2) Service Innovation 3) Data Optimization พร้อมตั้งเป้าฐานสมาชิก PT Max Card และ PT Max Card Plus ขยายตัวเพิ่มขึ้นกว่า 30 ล้านสมาชิก ส่วนร้านกาแฟพันธุ์ไทยมุ่งขยายสาขาร้านในรูปแบบของ “แฟรนไชส์” มากขึ้น ทั้งภายในและนอกสถานีบริการน้ำมันเป็นจำนวนรวม 5,000 สาขาครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศ รวมถึงขยายออกสู่ตลาดต่างประเทศ เช่น ลาว เป็นต้น พร้อมพัฒนาและมุ่งหาธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อใช้ประโยชน์จากระบบนิเวศของ PTG ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ภายในปี 2570
ทุ่ม 35 ล้าน ถือสิทธิ์ Subway
ทางฝั่งของธุรกิจ Non-Oil ของพีทีจี ได้เกิดความเคลื่อนไหวครั้งสำคัญ เมื่อ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) ส่งหนังสือ แจ้งกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ว่า บริษัท จีเอฟเอ คอร์ปอเรชั่น (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ GFA ซึ่งเป็น บริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้นผ่าน บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด ได้เข้าร่วมลงทุนเพื่อประกอบธุรกิจ อาหารและเครื่องดื่ม ในฐานะที่เป็นเจ้าของ Master Franchise ภายใต้ชื่อ และเครื่องหมายการค้า “Subway” และบริหารจัดการร้านอาหารภายใต้ชื่อ และเครื่องหมายการค้า “Subway” ด้วยงบการลงทุน 35 ล้านบาท
สำหรับ “Subway” แบรนด์แซนด์วิชชื่อดังจากสหรัฐอเมริกา กำลังเผชิญหน้าความท้าทายอย่างมากในประเทศไทย อันเนื่องมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคของคนไทย ที่ยังคงไม่คุ้นเคยกับเมนู “แซนด์วิช” ที่มีขนาดใหญ่ รวมทั้งวิธีสั่ง ขณะเดียวกันก็ผนวกกับกำลังซื้อที่หดตัวลง ล้วนแล้วแต่ทำให้ที่ผ่านมาเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2546 เปลี่ยนมือเจ้าของสิทธิ์มาสเตอร์แฟรนไชส์มาแล้วก็หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่ถือว่าประสบความสำเร็จมากนัก ทั้งๆ ที่นี่คือแบรนด์ฟาสต์ฟู้ดที่มีสาขาอันดับสองของโลกเป็นรองเพียงแมคโดนัลด์เท่านั้น
เมื่อมาอยู่ในของ PTG ซึ่งได้เปรียบเรื่องของ “ทำเล” อย่างนี้แล้ว แบรนด์ Subway ในประเทศไทยจะเดินหน้าต่อไปอย่างไร ต้องติดตาม รวมทั้งต้องตั้งคำถามว่าร้านสาขาที่ตั้งอยู่ในถิ่นของปั๊มน้ำมันแบรนด์อื่นจะมีนโยบายอย่างไรในอนาคต
เดินหน้า “พันธุ์ไทย” 5,000 สาขา
ส่วนร้านกาแฟพันธุ์ไทย ทาง PTG ระบุว่า ยังมุ่งเน้นการขยายสาขาอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่มีศักยภาพมากขึ้น อาทิ ย่านใจกลางเมือง ย่านธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง (CBD: Central Business District) หัวเมืองตามจังหวัดต่างๆ ศูนย์การค้าหรือห้างสรรพสินค้า สถานที่ราชการ โรงพยาบาล และมหาวิทยาลัย ซึ่งในปัจจุบันกาแฟพันธุ์ไทยมีสาขาจำนวนกว่า 900 สาขา โดยตั้งเป้าหมายขยายสาขาเพิ่มอีก 400 สาขาทั่วประเทศไทย เข้าสู่ระดับอำเภอที่มีศักยภาพ เพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศไทยรวมจำนวนกว่า 1,300 สาขา ภายในปี 2567 นี้ เพื่อเป้าหมายใหญ่ 5,000 สาขา
หลังจากที่ปี 2566 ที่ผ่านมา รายได้จากกาแฟพันธุ์ไทย เพิ่มขึ้น 54.1% จากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2566 มีจำนวนสาขาอยู่ที่ 882 สาขา เพิ่มขึ้น 371 สาขาจากสิ้นปีที่ผ่านมา ประกอบกับการเติบโตของสาขาเดิม (Same-Store-Sales) จากการกลับเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่องของกลุ่มลูกค้าผู้ถือบัตร PT Max Card และ PT Max Card Plus
ลุยบริการ cryptocurrency
นอกจากธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล หลังจากที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจากกระทรวงการคลัง คุณปกเขตร รัชกิจประการ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แมกซ์บิท ดิจิทัล แอสเซท จำกัดช (Maxbit) กล่าวว่า เราได้รับใบอนุญาตให้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจำนวน 2 ประเภท ได้แก่ ประเภทนายหน้าซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี และประเภทนายหน้าซื้อขายโทเคนดิจิทัล โดยได้เริ่มดำเนินการเมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 ซึ่งบริษัทฯ เล็งเห็นโอกาสในธุรกิจด้านสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งเป็นธุรกิจใหม่ที่ไม่ใช่ธุรกิจน้ำมัน (Non-Oil Business) และเชื่อมั่นว่า Maxbit จะสามารถนำจุดแข็งของบริษัทฯ ที่มีสมาชิก Max Card กว่า 21.5 ล้านสมาชิก รวมถึง Touchpoints กว่า 1.5 ล้าน Touchpoints ของ Max Me มาต่อยอดเป็นลูกค้าของ Maxbit โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ กลุ่มลูกค้าในช่วงวัยทำงานและผู้ที่สนใจในด้านการลงทุน
โดยตั้งเป้าหมายปีนี้จะมีสมาชิกเทรดประมาณ 350,000 ราย ซึ่งด้วยวิสัยทัศน์ คือ การปฏิวัติอุตสาหกรรมบริการ cryptocurrency ในประเทศไทยจากความเข้าใจและสร้างสรรค์ร่วมกัน ทำให้มั่นใจปี 2567 จะมีมาร์เก็ตแชร์โตเป็น 9%-10% และก้าวสู่เบอร์ 2 ของกลุ่มตลาดนายหน้าซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทย ซึ่งเชื่อมั่นว่า Maxbit จะเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่สามารถสร้างผลตอบแทนระยะยาวให้แก่พีทีจี
ได้อย่างมีนัยสำคัญ
จากการดำเนินงานทั้งหมด นั่นทำให้ภาพรวมธุรกิจในปี 2567 บริษัทฯ ประมาณการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายน้ำมันไว้ที่ 10-12% จากปัจจัยหนุนจากเศรษฐกิจไทยในภาพรวม โดยเฉพาะการขยายตัวจากการบริโภคภาคเอกชน รวมถึงภาคการท่องเที่ยวที่เติบโตต่อเนื่อง รวมถึงปัจจัยภายในของบริษัทฯ เอง ที่มีการยกระดับการให้บริการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ามากยิ่งขึ้น รวมถึงการเข้ามาใช้บริการซ้ำของลูกค้ากลุ่มผู้ถือบัตร PT Max Card และ Max Card Plus
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงวางเป้าการขยายสถานีบริการในปี 2567 ไว้ที่จำนวน 2,251 สถานีบริการ รวมถึงมีการปรับปรุงสถานีบริการให้มีความทันสมัย และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้สามารถเข้าถึงความ “อยู่ดี มีสุข” ภายใต้ระบบนิเวศของบริษัทฯ ได้อีกด้วย
ด้านธุรกิจ Non-Oil ยังคงวางเป้าเติบโตอย่างต่อเนื่องที่ระดับ 40-50% โดยวางเป้าหมายการเติบโตของปริมาณการจำหน่ายก๊าซ LPG ในปีนี้ ไว้ที่ 30-40% ซึ่งการเติบโตมาจาก 1) กลุ่ม Auto LPG ด้วยการยกระดับประสบการณ์ให้แก่ลูกค้าด้วยงานบริการ ส่งเสริมยอดขาย และครองส่วนแบ่งการตลาด อันดับ 1 ด้วยโครงการ “Taxi Transform” และ “Auto Transform” รวมถึงการใช้กลยุทธ์ทำงานด้านการตลาดผ่านระบบสมาชิก บัตร PT Max Card เพื่อรักษาและขยายฐานลูกค้า 2) กลุ่มก๊าซครัวเรือนและอุตสาหกรรมด้วยการมุ่งรักษาฐานลูกค้าหลักเดิม และหาฐานลูกค้าใหม่ รวมถึงการนำเสนอโปรโมชันการขาย และการรับรู้แบรนด์ PT แก่ลูกค้าและ 3) เน้นการขยายจำนวนสถานีบริการ Auto LPG และ Gas Shop เป็น 788 สาขา จากเดิมที่มีอยู่ 573 สาขาในปี 2566