HomeBrand Move !!‘ไปรษณีย์ไทย’ ปี 66 พลิกกำไร 78 ล้าน ลุยเฮาส์แบรนด์ ตรา ‘ไปร’ ขายน้ำดื่ม-กาแฟ-เครื่องดื่มชูกำลัง  

‘ไปรษณีย์ไทย’ ปี 66 พลิกกำไร 78 ล้าน ลุยเฮาส์แบรนด์ ตรา ‘ไปร’ ขายน้ำดื่ม-กาแฟ-เครื่องดื่มชูกำลัง  

แชร์ :

“ไปรษณีย์ไทย” องค์กร 140 ปี เจอการแข่งขัน “สงครามราคา” ในธุรกิจขนส่งพัสดุอย่างหนักตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งจากผู้เล่นรายใหม่และแพลตฟอร์มมาร์เก็ตเพลสรายใหญ่ต่างชาติให้บริการขนส่งเอง ทำให้ ปี 2564-2565 “ขาดทุนหนัก” ต้องเดินหน้าปรับองค์กรทั้งลดต้นทุนและหาโอกาสสร้างรายได้ในธุรกิจใหม่

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

หลังขาดทุนอยู่ 2 ปี ในปี 2566 “ไปรษณีย์ไทย” พลิกทำกำไร 78 ล้านบาท มีรายได้รวม 20,934 ล้านบาท เติบโต 7.40% วางเป้าหมาย 3 ปีจากนี้รายได้เติบโตเฉลี่ย 10% ทุกปี และก้าวสู่การเป็น Trusted Sustainable ASEAN Brand หรือ “แบรนด์ที่น่าเชื่อถืออย่างยั่งยืนของอาเซียน”

ย้อนดูรายได้-กำไร “ไปรษณีย์ไทย” เบอร์หนึ่งในธุรกิจขนส่ง 

– ปี 2561 รายได้ 29,298 ล้านบาท กำไรสุทธิ 3,809 ล้านบาท

– ปี 2562 รายได้ 27,162 ล้านบาท กำไรสุทธิ 589 ล้านบาท

– ปี 2563 รายได้ 23,712 ล้านบาท กำไรสุทธิ 238 ล้านบาท

– ปี 2564 รายได้ 21,226 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 1,730 ล้านบาท

– ปี 2565 รายได้ 19,546 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 3,018 ล้านบาท

ดร.ดนันท์  สุภัทรพันธุ์

โรดแมป 3 ปี เล็งกำไร 1,000 ล้าน

ดร.ดนันท์  สุภัทรพันธุ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด กล่าวว่าปี 2566 ไปรษณีย์ไทยกลับมาทำกำไรในรอบ 2 ปี มาจากการปรับองค์กรทั้งการพัฒนาบริการและธุรกิจใหม่เพื่อสร้างรายได้ และการลดต้นทุน ปี 2566 ลดต้นทุนได้ 2,000 ล้านบาท

โดยรายได้ไปรษณีย์ไทย มาจากธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ที่มีสัดส่วนสูงสุด เติบโต 19.35% จากการให้บริการครอบคลุมผู้ใช้บริการทุกกลุ่ม  มีเครือข่ายไปรษณีย์ครอบคลุมกว่า 30,000 แห่งทั่วประเทศ  บุรุษไปรษณีย์ (พี่ไปร) 25,000 คน 

นอกจากนี้ยังเห็นโอกาสจากการให้บริการค้าปลีกและการเงิน จึงพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค กลุ่มบริการนี้มีรายได้เติบโต 34.26% ถือเป็นอีกกลุ่มธุรกิจที่ไปรษณีย์ไทยให้ความสำคัญและขยายธุรกิจต่อเนื่องในปีนี้

แม้ในตลาดขนส่งพัสดุยังต้องเจอกับสงครามราคาอยู่ต่อไป แต่ที่จริงคู่แข่งของไปรษณีย์ไทย คือพฤติกรรมผู้บริโภค โปรดักท์ของไปรษณีย์ไทย คือ ประสบการณ์ของลูกค้า หากสามารถแข่งกับพฤติกรรมผู้บริโภคได้ทันและพัฒนาโปรดักต์ได้ตรงกับความต้องการ เราก็ไม่ต้องไปแข่งกับใคร และยังเติบโตได้

ปี 2567 ไปรษณีย์ไทยวางไว้เป้าหมายรายได้ 22,802 ล้านบาท คาดว่าจะมีกำไรสุทธิ 350 ล้านบาท หรือเติบโต 5 เท่าจากปีที่ผ่านมา จากกลุ่มบริการหลัก ได้แก่ บริการขนส่งและโลจิสติกส์ บริการไปรษณียภัณฑ์ บริการค้าปลีก บริการการเงิน และบริการคลังสินค้า

รวมทั้งรายได้ใหม่จากบริการ Prompt Post ที่เตรียมเปิดให้ร่วมทายผลฟุตบอลยูโร 2024 บริการ e-Timestamp e-Signature e-Seal การจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ตู้ไปรษณีย์ดิจิทัล (Digital Post Box) การใช้ศักยภาพความเชี่ยวชาญของบุรุษไปรษณีย์ให้บริการในรูปแบบ Postman as a Service เช่น การสำรวจสินทรัพย์ การรับส่งสิ่งของแบบ On Demand การขายสินค้าบนแพลตฟอร์ม “ไทยแลนด์โพสต์มาร์ท”

ล่าสุดได้ร่วมมือกับกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ เปิดจุดให้บริการไปรษณีย์ไทย@ธงฟ้า ตั้งเป้า 20,000 แห่ง ภายในปี 2567

“วางโรดแมพใน 3 ปี ไปรษณีย์ไทยตั้งเป้าเป็น Trusted Sustainable ASEAN Brand ดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนและเป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือแห่งอาเซียน และวางเป้าหมายรายได้เติบโตปีละ 10% และกำไรแตะ 1,000 ล้านบาทในปี 2569” 

ลุยสินค้า House Brand  เตรียมส่ง “ไปร บูทส์” ชิงตลาดเครื่องดื่มชูกำลัง

ช่วงปลายปีที่ผ่านมากลุ่มธุรกิจค้าปลีก ได้เข้ามาทำตลาดสินค้าอุปโภค โดยพัฒนา House Brand ขึ้นมาทำตลาด โดยใช้ชื่อแบรนด์ “ไปร” (PRAI) เริ่มที่ 3 สินค้า

1.  กาแฟ ตรา “ไปร คอฟฟี่” สูตร 3 อิน 1  ขนาดบรรจุภัณฑ์ถุงน้ำหนัก 380 กรัม มี 25 ซอง ราคา 110 บาท/ถุง  และสูตรสมุนไพร ขนาดบรรจุภัณฑ์ถุงน้ำหนัก 380 กรัม มี 25 ซอง ราคา 130 บาท/ถุง

2. น้ำดื่มไปร (น้ำเปล่า) ขนาด 1,500 มล. ราคาแพ็กละ 50 บาท (6 ขวด)  ขนาด 600 มล. ราคาแพ็กละ 50 บาท (12 ขวด) และขนาด 350 มล. ราคาแพ็กละ 45 บาท (12 ขวด)

3. ข้าวสาร “ตราไปร” ข้าวหอมมะลิสุรินทร์ ขนาดบรรจุ 5 กิโลกรัม ราคา 200 บาท

การทำตลาดสินค้า House Brand  เริ่มจากสินค้าอุปโภคที่ผู้บริโภคต้องกินทุกวัน ซื้อซ้ำบ่อย มีตลาดขนาดใหญ่เพื่อเป็นอีกตัวเลือกให้ลูกค้า  เห็นได้ว่าทั้งน้ำดื่มและข้าวสาร เป็นสินค้ามีน้ำหนักมาก ผู้บริโภคไม่สะดวกในการซื้อกลับบ้าน  ไปรษณีย์ไทยจึงเห็นโอกาสในการเข้ามาทำตลาดนี้  โดยใช้เครือข่ายบุรุษไปรษณีย์กว่า 25,000 คน  ซึ่งรู้จักลูกค้าเป็นอย่างดี เป็นผู้รับคำสั่งซื้อและจัดส่งในวันถัดไปโดย “ไม่มีค่าจัดส่ง” รวมทั้งสามารถสั่งซื้อได้ที่ทำการไปรษณีย์

ปีนี้เตรียมเปิดตัวสินค้า House Brand ใหม่อีกหนึ่งรายการ คือ เครื่องดื่มชูกำลัง ตรา “ไปร บูทส์” (PRAI Boost) ราคาขวดละ 10 บาท ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าอุปโภค ที่มีตลาดขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 22,000 ล้านบาทต่อปี  แม้จะมีรายใหญ่ครองตลาดอยู่แล้ว แต่ด้วยเครือข่ายไปรษณีย์ไทยที่มีอยู่ทั่วประเทศและเข้าถึงลูกค้าในพื้นที่ ก็มีโอกาสทำตลาดได้เช่นกัน

การทำตลาดสินค้า House Brand ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น น้ำดื่ม กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง เป็นการจ้างผลิต (OEM) จึงไม่ต้องลงทุนด้านการผลิตและมีต้นทุนไม่สูง หลังจากนี้จะมีสินค้าอุปโภคกลุ่มใหม่ ๆ ออกมาทำตลาดต่อเนื่อง

“การทำตลาดสินค้า House Brand ใช้เครือข่ายไปรษณีย์ไทยเป็นช่องทางกระจายสินค้า ทั้งผู้บริโภคทั่วไปและร้านค้า โดยไม่มีวางจำหน่ายในช่องทางค้าปลีกอื่นๆ เป็นการใช้เครือข่ายไปรษณีย์ให้มีประสิทธิภาพและสร้างรายได้เพิ่มขึ้น”  

ในปี 2566 ไปรษณีย์ไทยมีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มบริการค้าปลีกและการเงิน 5% ภายใน 3 ปีจากนี้จะเพิ่มสัดส่วนเป็น 15%

ติดตามพวกเราได้ที่ LINE


แชร์ :

You may also like