“เดอะ คอฟฟี่ คลับ” (The Coffee Club) หนึ่งในแบรนด์ร้านกาแฟจากออสเตรเลีย มีจุดเด่นที่เมนู “กาแฟ” และ “อาหารเช้า” สไตล์ออสเตรเลีย ตลอดเส้นกว่า 13 ปี “The Coffee Club” สามารถสร้างเติบโตในไทย จากการเน้นเจาะลูกค้า “ชาวต่างชาติ” มากกว่า “ชาวไทย” มีการขยายสาขาในทำเลหลักอย่างเมืองหลวง เมืองท่องเที่ยว ทำให้ชื่อของแบรนด์ไม่เป็นที่คุ้นหูคนไทยมากนัก
แต่หลังจากการเข้ามาบริหารงานของ “คุณนงชนก สถานานนท์” ผู้จัดการทั่วไป เดอะคอฟฟี่ คลับ ที่เริ่มเข้ามาจัดระบบ ปรับโครงสร้างแผนงานต่างๆ นับตั้งแต่ปี 2022 ทำให้สถานการณ์ของแบรนด์เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น
คุณนงชนก สถานานนท์ กล่าวว่า จากผลการดำเนินงานของธุรกิจร้าน เดอะ คอฟฟี่ คลับใน ปี 2566 ที่ผ่านมา ที่มีการเติบโตอยู่ที่ 32% เมื่อเทียบกับปี 2565 ซึ่งเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ อันเป็นผลมาจากการดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดที่หลากหลายทั้งการตอบโจทย์ลูกค้าผ่านการพัฒนาเมนูใหม่ ๆ อาทิ เมนูชาไทยปังเย็น เฟรปเป้ เครื่องใหม่ที่พัฒนาจากอินไซต์คนไทยที่ปัจจุบันนิยมบริโภคชาไทยมากขึ้น การขยายฐานลูกค้าด้วยการมอบสิทธิพิเศษต่าง ๆ ผ่านระบบสะสมแต้ม และการขยายสาขาให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
“หลังจากปีที่ผ่านมาเป็นปีแรกในรอบ 5 ปี (นับตั้งแต่การระบาดของโควิด 19) ที่เราสามารถสร้างการเติบโตและมีกำไรอยู่ที่ 1 ล้านบาทเนื่องมาจากการทำตลาดและปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนปีนี้จะเป็นปีแห่งการสร้างการเติบโตอย่างจริงจัง ” คุณนงชนก สถานานนท์ กล่าว
เปิด 5 กลยุทธ์ สร้างการเติบโต The Coffee Club ในะยะยาว
หากส่องดูความสำเร็จของ The Coffee Club ในช่วงที่ผ่านมาจะพบว่าสามารถสร้างการเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยเฉพาะการโฟกัสการทำตลาดไปที่กลุ่มลูกค้าชาวไทยมากยิ่งขึ้น โดยทิศทางในปี 2567 ของ The Coffee Club ตั้งเป้าตอกย้ำการเป็น Neighborhood Café สำหรับลูกค้าทุกคน ผ่านกลยุทธ์สำคัญ 5 ประเด็น
1.ปี 2566 กำไรครั้งแรกในรอบ 5 ปี
เป็นที่รู้กันดีกว่าในช่วงของการระบาดของโควิด – 19 ธุรกิจร้านอาหารคืออีกหนึ่งอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตดังกล่าวมาเป็นลำดับแรกๆ เช่นเดียวกับ The Coffee Club ที่ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2021 ที่ผลกำไรติดลบมากว่า 100 ล้านบาท ก่อนที่ในปี 2022 จะติดลบเหลือ 30 ล้านบาท แต่จากการปรับตัวจากการทำตลาดอย่างต่อเนื่องเน้นอาหารเช้าและเมนูใหม่ ทำให้ในปี 2566 บริษัทเริ่มมีการเปิดสาขาใหม่ สร้างการรับรู้คนไทยมากขึ้น ปีที่แล้วโต 30% และมีกำไรปีแรกอย่างเป็นทางการครั้งแรกในรอบ 5 ปี แม้จะเป็นตัวเลขเพียง 1 ล้านบาทแต่ก็ถือเป็นการเติบโตที่ดี
โดยในปี 2567 มองว่าเป็นปีแห่งการเติบโตแบบดับเบิ้ลดิจิต หรือ 15% ปีนี้รายได้กว่า 800 ล้านบาท ซึ่งการเติบในปีนี้เป็นผลมาจากการปรับตัวย่างต่อเนื่องในทุกมิติ เพื่อรองรับธุรกิจร้านอาหาร คาเฟ่ ที่กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง
2.ขยายสาขา : เปิดโมเดลไซซ์เล็ก บุกทำเลออฟฟิศ
หนึ่งในการเติบโตหลักที่จะผลักดันให้แบรนด์มีการเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้คือการขยายสาขาขนาดเล็ก Small cafe พื้นที่ 70-100 ตร.ม. ด้วยงบประมาณ 3-5 ล้านบาทต่อสาขา จากเดิมที่ The Coffee Club มีพื้นที่ราว 180-200 ตร.ม. เพื่อสร้างการเข้าถึงมากขึ้น
โดยในปีนี้จะขยายโมเดลไซซ์เล็ก เพิ่มอีก 4 สาขา จากปัจจุบันที่มีอยู่แล้ว 1 สาขา ในทำเลย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ ออฟฟิศ อาคารสำนักงาน เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายคนไทย พนักงานออฟฟิศมากยิ่งขึ้น โดยจะจำหน่ายเน้นบริการแบบ Take away มากกว่า ภายในมีทั้งเครื่องดื่มทั้ง Coffee และ Non-Coffee รวมทั้งอาหารแบบ GRAB & GO, Snack Box ,Lunch Box ในราคาเริ่มต้น 70 บาทก็สามารถทานได้
นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดสาขาขนาดใหญ่โมเดล Big Cafe ขนาดพื้นที่ 180-200 ตรม. ใช้งบลงทุน 8-10 ล้านบาทต่อสาขา เบื้องต้นกำลังศึกษาความเป็นไปได้ใน 2 ทำเล ได้แก่ พัทยา และภูเก็ต อย่างไรก็ตามจากการขยายสาขามากขึ้นในปีนี้จะทำให้ The Coffee Club มีสาขาทั้งสิ้น 45 สาขา จากปัจจุบันที่มีอยู่สาขา 40 สาขา แบ่งเป็น 39 สาขาในประเทศไทย และ 1 สาขาในต่างประเทศ
ทั้งนี้เพื่อเพิ่มฐานลูกค้าใหม่ และมุ่งเน้นไปยังกลุ่มลูกค้าที่เป็นคนไทยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่น คนวัยคนทำงาน ตลอดจนครอบครัว ไปพร้อมการให้ความสำคัญกับลูกค้าต่างชาติเช่นเดิม
3.รสชาติ และคุณภาพ : เปิดตัวเมนูใหม่ปลุกตลาดรับซัมเมอร์
การประสบความสำเร็จในธุรกิจคาเฟ่ นอกจากส่วนสำคัญมาจะจาก “กาแฟ” ที่ต้องอร่อย หลากหลาย และตอบโจทย์ ซึ่งความหลากหลายของเมนูคือสิ่งสำคัญที่จะดึงดูดความสนใจของลูกค้า โดยได้เปิดตัวเมนูอาหารและเครื่องดื่มใหม่ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายของลูกค้า โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสงกรานต์หรือช่วงหน้าร้อน ที่พบว่าอินไซต์ของผู้บริโภคส่วนใหญ่จะมีการวางแผนใช้เงินเพื่อบริโภคอาหารและเครื่องดื่มมากกว่าช่วงเวลาอื่น ๆ ของปี
จึงพัฒนาเมนู Summer Faves ที่เป็นเน้นวัตถุดิบอาหารทะเลมาตอบโจทย์ดังกล่าว ประกอบด้วย ฟิช แอนด์ ดับเบิ้ลชิป (Fish & Double Chips) เนื้อปลาพอลล๊อกชิ้นใหญ่ทอด เสิร์ฟคู่กับ มันฝรั่งสองสไตล์ อย่าง เฟรนช์ฟรายส์ และ มันหวานฟรายส์ ทานคู่กับซอสทาร์ทาร์ หรือ ซอสมะเขือเทศ สลัดอะโวคาโดกุ้ง น้ำสลัดวาซาบิ (Avocado & prawn salad) สลัดอะโวคาโดและกุ้ง ออกมาทำตลาด
นอกจากนี้ยังมีเมนูเครื่องดื่ม 2 เมนูได้แก่ โมฮิโต้ ม๊อกเมล เฟรปเป้ (Mojito Crush Frappe) และ พาฟโลวา เฟรปเป้ (Pavlova Frappe) มาตอบโจทย์ลูกค้าและสร้างความหลากหลายอีกด้วย
3. Loyalty Program : การทำ CRM และ Coffee Subscription
การทำลอยัลตีโปรแกรม เช่น การมอบโปรโมชันพิเศษสำหรับสมาชิกทุกระดับบนแอปพลิเคชัน The Coffee Club Thailand ไม่ว่าจะเป็นระดับ Gold, Silver และ Member ที่สามารถรับเครื่องดื่มฟรีได้เมื่อสั่งอาหารในรายการที่กำหนด การมอบโปรโมชันดับเบิ้ลพ้อยต์รับแต้มคูณสองเมื่อใช้บริการในช่วงเวลาที่กำหนด รวมถึงการมอบสิทธิพิเศษในการชิมเมนูใหม่สำหรับสมาชิก
นอกจากนี้การทำระบบ Coffee Subscription สำหรับซื้อเครื่องดื่มชนิดใดก็ได้ที่ร่วมรายการในราคาแพคเกจสุดพิเศษ ตลอดจนการสะสมพอยท์เพื่อแลกรับส่วนลดเมนูอาหารเครื่องดื่มฟรี หรือสินค้าเอกซ์คลูซิฟ เช่น สิทธิพิเศษล่าสุด สมาชิกสามารถแลกแก้วน้ำ tumbler ฟรีได้ด้วยการใช้ 200 คะแนน ผ่านแอปพลิเคชัน THE COFFEE CLUB Thailand เป็นต้น โดยคาดว่ากลยุทธ์ดังกล่าวจะสามารถเพิ่มยอดสมาชิกในปี 2567 ได้รวมทั้งสิ้น 250,000 ราย จากปัจจุบันที่มีอยู่ 170,000 ราย
4.Branding : ใช้โซเชียลมีเดีย ส่งข่าวแบรนด์แทนการโฆษณาเพื่อให้เกิดการบอกต่อ
ขณะที่เรื่องของแบรนด์ดิ้งในปีนี้ จะเน้นสื่อสารผ่านช่องทางโซเชียลมีเดียมากยิ่งขึ้น เพื่อกระตุ้นให้แบรนด์ถูกคนพูดถึง “เราจะไม่พูดเรื่องแบรนด์เองผ่านโฆษณาต่างๆ หากแต่จะใช้ความเป็น Third Party หรือบุคคลที่ 3 ในการพูดถึงแบรนด์จะทำให้มีความน่าเชื่อถือและประสบผลสำเร็จได้เร็วกว่า”คุณนงชนก สถานานนท์ กล่าว
5.Partnership : การจับมือกับพันธมิตรใหม่ขยายฐานลูกค้าเป็นวงกว้าง
ประการสุดท้ายคือการมองหาพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่ง โดยมีแผนจะทำ Co-Partner ร่วมกับพันธมิตรในหลากหลายธุรกิจที่มีฐานลูกค้าเดียวกัน เช่นให้ Privilege กับลูกค้าแบรนด์สัญญาณเครือข่ายโทรศัพท์ นอกจากนี้จะขยายไปร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ที่เกี่ยวไลฟ์สไตล์มากขึ้น
อย่างไรก็ตามปัจจุบัน The Coffee Club มีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติ 65% และคนไทย 35% โดยในปีนี้วางเป้าหมายขยายกลุ่มลูกค้าคนไทยเพิ่มเป็น 40% ขณะที่เป้าหมายระยะยาว 5 ปีนับจากนี้อยากให้มีกลุ่มลูกค้าคนไทย และต่างชาติในสัดส่วน 50 : 50
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE