HomeBrand Move !!ตลาดความงามโลกฟื้น “ลอรีอัล” โตสูงสุดในรอบ 20 ปี ส่งแพ็คเกจจิ้งแบบ “รีฟิล” เพิ่มยอดขายกลุ่มลักชัวรี

ตลาดความงามโลกฟื้น “ลอรีอัล” โตสูงสุดในรอบ 20 ปี ส่งแพ็คเกจจิ้งแบบ “รีฟิล” เพิ่มยอดขายกลุ่มลักชัวรี

แชร์ :

หลังการระบาดของโควิดผ่านพ้นไป “ตลาดความงาม” คือหนึ่งในอุตสาหกรรมที่กลับมาสดใสอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในกลุ่มผลิตภัณฑ์ Make Up และเวชสำอางค์ โดยปีที่ผ่านมาตลาดความงามโลกโต 8% ส่วนหนึ่งของการเติบโตเป็นผลมาจากผู้บริโภคที่อัดอั้นต่อการจับจ่ายเรื่องของความสวยงามในช่วงโควิด ขณะเดียวกันเทรนด์การดูแลสุขภาพที่มาแรงก็ส่งผลให้ตลาดความงามเติบโตตามไปด้วย

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ลอรีอัล (L’Oreal) คืออีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ในตลาดความงามโลกที่กลับมาเติบโตอีกครั้งแบบดับเบิ้ลดิจิตตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เฉพาะในปี 2023 ก็เติบโตไปแล้ว 11%  ถือว่าสูงสุดในรอบ 20 ปี ด้วยยอดขายมูลค่า 4.118 หมื่นล้านยูโร คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.61 ล้านล้านบาท (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2566) การเติบโตดังกล่าวถือว่ามากกว่าภาพรวมตลาดความงามในโลกปีที่ผ่านมาขยายตัว 8%

เช่นเดียวกับในประเทศไทยที่อัตราการเติบโตในตลาดความงามสอดคล้องกับเทรนด์โลก สังเกตได้จากภาพรวมตลาดสินค้าความงาม และ Personal Care ในไทยที่มีมูลค่าสูงถึง 2.85 แสนล้านบาท มีอัตราการเติบโตอยู่ที่  12% ซึ่งนับว่าเป็นตัวเลขการเติบโตที่สูงเมื่อเทียบกับหลายอุตสาหกรรม แน่นอนว่าการเติบโตดังกล่าวส่งผลให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในตลาดสำคัญ ในภูมิภาค SAPMENA ที่ประกอบไปด้วย เอเชียแปซิฟิกใต้ ตะวันออกกลาง และ แอฟริกาเหนือ ที่ยังสามารถคงอัตราการเติบโตสองหลักเหนือตลาดได้อย่างต่อเนื่อง

ภายใต้การนำของ “คุณแพทริค จีโร” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล ประเทศไทย เมียนมา ลาวและกัมพูชา จึงได้ถือโอกาสในงานเปิดบ้านใหม่ “Baan Beauté” (บ้านโบเต้) สำนักงานใหญ่แห่งใหม่และศูนย์กลางของลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย เมียนมา ลาว และกัมพูชา ที่อาคารพาร์คสีลม  อัพเดทถึงสถานการณ์ของตลาดความงามโลกและแผนงานในประเทศไทยปี 2024

 

คุณแพทริค จีโร

คุณแพทริค จีโร

 

โรดแมปของ “ลอรีอัล” ในการสร้างการเติบโตในไทยปี 2024 นี้คือ “การสร้างความงามเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน” เนื่องจากมองว่าจังหวะชีวิตมีความงามเป็นส่วนหนึ่งเสมอ ภายใต้กลยุทธ์ วัน ลอรีอัล (One L’Oréal)  ที่ทางค่ายมุ่งพัฒนาใน 3 ด้านหลักได้แก่ 1.บุคลากร (People)  2.บิวตี้คอมปะนี (Beauty Company) ที่ครองใจคนทั่วโลก 3.วันเลิฟคอมปะนี (One Loved Company) มุ่งขับเคลื่อนองค์กรในการทำงานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งในแบรนด์และองค์กร

ปลุกกระแส 3 แบรนด์เรือธง “การ์นิเย่-เมย์เบลลีน-ลอรีอัล ปารีส” รุกตลาดความงามไทย

คุณแพทริค จีโร ยังบอกอีกว่า “เทรนด์ความงามในไทยมีหลายกระแสทั้งเรื่องของเทรนด์การดูแลสุขภาพหลังโควิด ขณะที่อีกหนึ่งปัจจัยที่ผลัดันให้ตลาดความงามไทยมีอัตราการเติบโตที่สูงเมื่อเทียบกับหลายประเทศ  เพราะเป็นประเทศที่มีชนชั้นกลางเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยคาดการณ์ว่าภายในปี 2030 ประเทศไทยจะมีชนชั้นกลาง  50 ล้านคนหรือมีอัตราเฉลี่ยเพิ่มปีละ 1 ล้านคน นอกจากนี้ยังมีคนรุ่นใหม่ที่เน้นการใช้ดิจิทัลมากขึ้น กอปรกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยล้วนเป็นปัจจัยที่มีผลต่อตลาดความงามทั้งสิ้น”

ขณะที่เซกเมนต์ที่ผลักดันการเติบโตสูงสุดคือ ผลิตภัณฑ์เวชสำอาง ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ของโลกที่ผู้บริโภคใส่ใจและเลือกผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ Make Up ที่มีการเติบโตสูงสุดในรอบหลายปีนับตั้งแต่มีการระบาดของโควิด 19 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดและบริษัท

โดยปีที่ผ่านมา (2023) ตลาดความงามในประเทศไทยเติบโต 12% โดยผลิตภัณฑ์ดูแลผิวมีอัตราการเติบโตสูงสุดที่  61% มีมูลค่าตลาดใหญ่สุดอยู่ที่ 1.13 แสนล้านบาท ตามมาด้วยผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม 21% มีมูลค่าตลาด 3.9 หมื่นล้านบาท ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง 12% มีมูลค่าตลาด 2.27 หมื่นล้านบาทและผลิตภัณฑ์กลุ่มน้ำหอม 6% มีมูลค่าตลาด 1.02 หมื่นล้านบาท

 

Thailand Beauty Market

 

ขณะเดียวกันลอรีอัล มีสินค้าในพอร์ตกว่า 37 แบรนด์ โดยมีแบรนด์ที่เข้ามาทำตลาดในไทยแล้ว 15 แบรนด์ โดย แบรนด์ที่มียอดขายสูงสุดในไทย ได้แก่ การ์นิเย่ เมย์เบลลีน และลอรีอัล ปารีส โดยขึ้นเป็นผู้นำตลาดแล้วในกลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์ ขณะที่ในกลุ่ม Haircare ,Make Up และกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับผู้ชายคือกลุ่มถัดไปที่ลอรีอัลต้องการขึ้นเป็นผู้นำ แต่ต้องมีการทำตลาดอีกสักระยะไปจนถึงการศึกษาตลาดในการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ ออกมาตอบโจทย์ผู้บริโภคอีกด้วย

ส่วนแผนงานหลักในปีนี้จะเน้นปลุกกระแส พร้อมสร้างกิจกรรมความเคลื่อนไหวต่างๆ  ทั้ง การ์นิเย่ เมย์เบลลีน และลอรีอัล ปารีส ที่มียอดขายสูงสุดให้ติดตลาดอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังจะได้เห็นแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเสริมพอร์ตในประเทศไทยมากขึ้น ผ่านช่องทางการจำหน่ายทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ โดยจะโฟกัสที่ช่องทางหน้าร้านมากขึ้น เนื่องจากเทรนด์หลังโควิดพบว่ายอดขายหน้าร้านเติบโตสูงสุดเป็นอันดับ 1 รองลงมาคืออีคอมเมิร์ซ

 

รีฟิล​ (Refill) แพ็คเกจจิ้งเรือธงน้องใหม่ที่สานต่อทั้งความยั่งยืนและการเติบโต

อีกหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญของ “ลอรีอัล” คือการมุ่งสร้างการเติบโตผ่านเทรนด์โลกอย่างเรื่องการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยดำเนินธุรกิจเพื่อสานต่อพันธสัญญาด้านความยั่งยืน “L’Oréal for the Future” ทั้งนี้ ในปี 2567 ลอรีอัล กรุ๊ป ในประเทศไทย มีเป้าหมายลดการทำลายสินค้า ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ และดำเนินงานด้านสังคมอย่างต่อเนื่องรอบด้าน

ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ “บรรจุภัณฑ์แบบรีฟิล” ที่ลอรีอัลนำร่องมาสักระยะ เพื่อยกระดับการทำงานเพื่อมุ่งสู่การเปลี่ยนโฉมการดำเนินธุรกิจ และได้ตั้งเป้าหมายใหญ่ในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างด้านบรรจุภัณฑ์ที่ต้องเป็นมิตรกับสิงแวดล้อมและสามารถนำกลับมารีไซเคิลใหม่ได้

 

Refil Package

 

โดยปัจจุบันได้เพิ่มไลน์อัพบรรจุภัณฑ์แบบรีฟิลแล้วในแบรนด์ KIEHL’S , LANCOME  และ YSL โดยในปีนี้นี้จะนำแบรนด์ La Roche-Posay ในบรรจุภัณฑ์แบบรีฟิลเข้ามาเพิ่มเติม โดยแนวทางการขยายไลน์สินค้าในบรรจุภัณฑ์แบบรีฟิลนี้ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ลักชัวรี่

แน่นอนจากนี้โจทย์ใหญ่ของทางแบรนด์ก็คือให้ความรู้ผู้บริโภค ต้องนำเสนอให้ทั่วถึงว่าข้อดีของการใช้บรรจุภัณฑ์แบบรีฟิล เพื่อสร้างการเข้าถึงและยอมรับ รวมทั้งสื่อสารความคุ้มค่าคุ้มราคาด้วย โดยจะเน้นในกลุ่มสินค้าลักชัวรี่ เนื่องจะสามารถสร้างความต่างด้านราคากับบรรจุภัณฑ์แบบปกติได้มากกว่าและคุ่มค่าในการซื้อมากกว่า ขณะที่แบรนด์ในระดับแมส-กลางนั้นส่วนใหญ่จะเป็นแบบรีฟิลและวัสดุที่สามารถรีไซเคิลได้อยู่แล้ว

 

“บรรจุภัณฑ์แบบรีฟิล คืออีกหนึ่งหัวใจสำคัญของการสร้างการเติบโตผ่านนโยบายความยั่งยืนที่หลากหลาย ทั้งซองรีฟิล และรีฟิลแบบขวด เน้นดีไซน์มากขึ้น ลูกค้าจ่ายน้อยลง แต่ยังได้แพ็คเกจจิ้งที่สวยน่าใช้ โดยพยายามผลักดันผลิตภัณฑ์ให้เติบโต  และแต่ละแบรนด์มีเป้าหมายที่จะเอาพอร์ตรีฟิลเข้ามาเพิ่มขึ้น”

ติดตามพวกเราได้ที่ LINE

 


แชร์ :

You may also like