ชยธร กิติยาดิศัย ผู้ก่อตั้งธุรกิจผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอางแบรนด์ ‘อิงกุ’ (INGU) ย้อนจุดเริ่มต้นธุรกิจเกิดขึ้นเมื่อราว 3 ปีก่อน ด้วย ‘Passion’ อยากทำสินค้าดูแลผิวที่กล้าออกมาพูดความจริงกับผู้บริโภคคนไทยในช่วงนั้น ซึ่งเป็นยุคที่มีสินค้าสกินแคร์ เครื่องสำอางแบรนด์ต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศ เข้ามาทำตลาดจำนวนมาก พร้อมประโคมใช้ KOls และอินฟลูเอ็นเซอร์ ทำการตลาดบนแพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ เพื่อแนะนำสินค้า
ขณะที่เจ้าตัว เป็นหนึ่งในยูทูปเบอร์เจ้าของช่อง Ingck ที่มีผู้ติดตามกว่า 3.9 แสนคน ได้ทำคอนเท้นต์เจาะลึกสกินแคร์ เพื่อบอกความลับส่วนผสมที่อยู่ข้างกล่องผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ และนำมารีวิว จนเกิดเป็นไวรัลแฮชแทค #พลิกหลังกล่องเกิดขึ้น
จุดนี้เองที่ทำให้ ‘ชยธร’ เข้าใจในส่วนผสมของสกินแคร์แต่ละไอเทม ที่ตนเองได้หยิบจับพลิกหน้า พลิกหลังขึ้นมาดู พร้อมลองใช้เองจริง จนรู้ว่าส่วนผสมประเภทไหน? สกินแคร์แบบใด? ที่ ‘เกินความจำเป็น’ ต่อผิวหน้า
“ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา พร้อมงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่มาสนับสนุนพบว่า ผิวหน้าของคนเป็นอวัยวะที่ฉลาดไม่ต้องการสกินแคร์จำนวนมากเกินไป นอกจากนี้ยังมีสถิติระบุอีกว่าตลอดช่วงอายุของคนหนึ่งคนมีการใช้สกินแคร์โปรดักส์มากกว่า 5,000 ชิ้น และจากจำนวนชิ้นสินค้าดังกล่าวนี้ ยังหมายถึงปริมาณของบรรจุภัณฑ์ที่จะกลายเป็นขยะพลาสติกที่ยากต่อการย่อยสลายที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ตามมาอีกด้วย” ชยธร กล่าว
จาก Pain Point นี้เอง ทำให้ตนเองและพี่ชาย (กีรธัช กิติยาดิศัย) หยิบปัญหาเหล่านี้ต่อยอดสู่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง ด้วยการใช้วัตุถดิบ (Ingredient) คุณภาพจากทั้งในและต่างประเทศที่ได้การรับรองทางวิทยาศาสตร์ มาใช้เป็นส่วนผสมสำคัญในการพัฒนาสินค้าภายใต้แบรนด์ ‘INGU’ เพื่อทำตลาดตั้งแต่ปี 2566 ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ‘INGU’ ยังต้องการสื่อสาร ‘ข้อความ’ ดังกล่าว ถึงการ ‘หยุดบริโภคสกินแคร์บนใบหน้าเกินความจำเป็นต่อวัน’ ไปยังวงกว้าง ด้วยการนำเสนอผ่านแคมเปญ Stop Skincare Overdose Art Installation พร้อมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาในชื่อ ‘Seven Moms’ นำเสนอบนแพลตฟอร์มสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ พร้อมสื่อสารแบรนด์คอนเทนต์ ผ่านสื่อนอกบ้าน (OOH) อาทิ ป้ายต่างๆ ที่กระจายไปยังสถานีรถไฟฟ้า BTS MRT หรือจุดต่างๆ ในกรุงเทพฯ
นอกจากนี้ เพื่อตอกย้ำแคมเปญฯ แบรนด์ INGU ยังได้ร่วมกับ ‘เป๋-ธนวัต มณีนาวา’ ศิลปินในวงการ Upcycle หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ TAM:DA ร่วมพัฒนาชิ้นงานศิลปะตั้งแสดง Art Installation ด้วยการตีโจทย์ค่าเฉลี่ยการใช้สกินแคร์ตลอดในช่วงชีวิตคน โดยบอกเล่าผ่านผลงานศิลปะในชื่อ ‘Art Installation Ms.Overdose’ สะท้อนผ่านการใช้บรรจุภัณฑ์สกินแคร์ร่วม 7,000 ชิ้น เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคให้เลิกเสพติกการใช้สกินแคร์มากเกินความจำเป็น และกลับมา Back to Basics กับ INGU Core Routine ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน ‘ล้าง บำรุง ปกป้อง’ ได้ในแบบที่เรียบง่ายและสวยงามอย่างยั่งยืน ให้กับทั้งตัวเราและโลกใบนี้ ไปพร้อมกันอีกด้วย
ย้ำ Core Value พาสู่รายได้ 500 ล้านบาท
ด้าน กีรธัช กิติยาศัย ผู้ร่วมก่อตั้ง INGU และ Brand Manager กล่าวว่า INGU ใช้ระยะเวลาพัฒนาสินค้ามานานร่วม 3 ปีก่อนเปิดตัวสินค้าเพื่อทำตลาด ภายใต้แนวคิด การเริ่มต้นการมีผลิตภัณฑ์ที่ดีและเข้าใจความต้องการเชิงลึก หรือ Insight ของผู้บริโภค ผ่าน 5 แกนหลักธุรกิจ (Business Core Value)ของแบรนด์ ประกอบด้วย
1. Simplicity สกินแคร์ที่ดีต้องมีความเรียบง่าย มีส่วนผสมจำเป็นต่อผิวเท่านั้น 2. Transparent Science การพัฒนาสูตรโดยใช้งานวิจัยคุณภาพและวิทยาศาสตร์ที่ดีเป็นตัวตั้งต้นเสมอ 3. Empower Local Producers เลือกใช้สารสกัดท้องถิ่น มาใช้เป็นส่วนผสมก่อนเสมอเพื่อให้ได้สารสกัดที่ดี 4. Realistically Sustainable ทุกบรรจุภัณฑ์ของอิงกุ จะใช้วัสดุรีไซเคิล ใช้ผลิตภัณฑ์จากแนวคิด PCR (Post-Cosumer Recycled) เพื่อเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ 5. Fact without Fear การสื่อถึงความจริงใจ
“จากบิสสิเนส คอร์ แวลู ของอิงกุจะผลักดันให้แบรนด์มีจุดยืนในการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง จากความกล้าออกมาสื่อสารความจริงอย่างตรงไปตรงมา ที่สอดคล้องกับอินไซด์ผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ในปัจจุบัน” กีรธัช กล่าว
โดย INGU วางตำแหน่งทางการตลาดผลิตภัณฑ์ระดับ Premium Mass สินค้าคุณภาพสูงในราคาที่จับต้องได้ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มสินค้าหลัก คือ กลุ่ม Essential Series กลุ่ม 4D Supplement Series และ กลุ่ม Skin Accessories ปัจจุบันมีไอเทมสินค้ามากกว่า 50 เอสเคยู (SKUs) วางระดับราคาต่ำสุด 290 บาทต่อชิ้น ถึง 950 บาทต่อชิ้น มีช่องทางขายในร้านค้าปลีกความงาม อาทิ วัตสัน อีฟ แอนด์ บอย และ บิวเทรี่ยม รวมถึงในช่องทางอีคอมเมิร์ซ แพลตฟอร์มออนไลน์ อิงกุ
กีรธัช กล่าวต่อถึงกิจกรรมทางการตลาดในแคมเปญ #StopSkincareOverdoseArt ที่จัดขึ้น ณ ลานเอเทรี่ยม ชั้น G ศูนย์การค้าสยามเซ็นเตอร์ ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 22 พ.ค.นี้ เพื่อตอกย้ำจุดยืนแบรนด์อิงกุ ในการรณรงค์การใช้สกินแคร์บนใบหน้ามากเกินความจำเป็นอย่างต่อเนื่อง และนำไปสู่การรับรู้แบรนด์อิงกุ ได้ในวงกว้างได้มากขึ้นจากนี้ไป
พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า จากแผนธุรกิจพร้อมกิจกรรมทางการตลาดแบรนด์อิงกุ ที่เตรียมไว้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2567 คาดผลักดันให้ INGU เติบโตไม่ต่ำกว่า 2-3 เท่าตัวเทียบกับปี 2566 ที่ผ่านมา หรือมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท พร้อมวางแผนธุรกิจในอีก 2 ปีนับจากนี้ ไปสู่การทำตลาดต่างประเทศทั้งในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านและในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น เกาหลี และ จีน
รวมถึงการขยายธุรกิจที่จะเป็นมากกว่าแบรนด์สินค้าดูแลผิวและเครื่องสำอางในอนาคตด้วย