“นันยาง”หนึ่งในแบรนด์รองเท้าสัญชาติไทยที่มีอายุอานามกว่า 71 ปี ที่ครองใจคนไทยมาทุกยุคสมัย ด้วยเอกลักษณ์รองเท้าผ้าใบ สีขาว ดำ น้ำตาล พื้นสีเขียวทำให้นันยางกลายมาเป็นไอเทมสำคัญของเหล่านักเรียนมีไว้ในครอบครองแทบทุกคน
ตลอดช่วงที่ผ่านมาการแข่งขันในตลาดรองเท้านักเรียนเมืองไทยมีแนวโน้มที่ดี โดยมีผู้เล่นจากแบรนด์อื่นๆเขามาทำตลาดราว 10-15 ส่องผลให้ตลาดรวมมีมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท แบ่งออกเป็น ตลาดรองเท้าผ้าใบ 60% รองเท้านักเรียนหญิง (รองเท้า PVC) 35% รองเท้าประเภทอื่นๆ อาทิ รองเท้าแฟชั่นลำลอง รองเท้าหนัง สนีกเกอร์ 5% ปีที่ผ่านมามีการเติบโต 3% นับเป็นการเติบโตสูงสุดครั้งแรกหลังการระบาดของโควิดผ่านพ้นไป
จากภาพการแข่งขันดังกล่าวเมื่อส่องเข้าไปในช่วงหน้าขาย พบว่า รองเท้านักเรียนมีช่วงขายดีคือ Back To School (เม.ย.-กลางมิ.ย.) คิดเป็นสัดส่วน 80% จากยอดขายตลอดทั้งปี ในขณะที่อีก 20% เป็นยอดขายที่มาจากช่วงเทอม 2 ของการเปิดภาคเรียน ทำให้ในในช่วงครึ่งปีแรก หรือราวเดือนเมษายน ไปจนถึงกลางพฤษภาคม คือช่วงเวลาในการทำยอดขายของแต่ละแบรนด์
ดร.จักรพล จันทวิมล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นันยางมาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวว่า ตลาดรองเท้านักเรียนในปีนี้ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี ในส่วนของผลประกอบการ “นันยาง” ปีที่ผ่านมามีอัตรการเติบโตอยู่ที่ 13.7% มากกว่าช่วงปี 2563-2565 (ช่วงโควิด) ที่มีการเติบโตเฉลี่ยปีละ 2% ครองความเป็นผู้นำตลาดด้วยมารเก็ตแชร์ 45 ขณะที่ในปี 2567 นี้ วางเป้าหมายการเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 1-2% หรือคิดเป็นการเติบโตตลอดทั้งปี 3-5%
“ปีนี้ช่วง Back To School อาจจะมาช้านิดหน่อย เนื่องจากมีการจัดเทศกาลสงกรานต์อย่างยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีทำให้กำลังซื้อในช่วงหลังจากนั้นอาจจะชะลออยู่บ้าง แต่อย่างไรก็ดีหลังจาก 20 เมษายนเป็นต้นมานั้นก็เริ่มเข้าสู่ช่วงเปิดเทอม แน่นอนเราและหลายแบรนด์ก็มีการจัดแคมเปญเพื่อต้อนรับเทศกาลดังกล่าว”
ขยายตลาดเพิ่มโอกาสในทุกช่องทางการขาย
หนึ่งในกลยุทธ์ขับเคลื่อนการขายให้กับ “นันยาง” ในปีนี้คือการเดินหน้ากิจกรรมทางการตลาด และกลยุทธ์เพื่อรุกขยายโอกาสทางการตลาดในทุกช่องทางและยังคงเน้นเป้าหมายหลักที่กลุ่มนักเรียน นักกีฬา คนทำงาน และผู้ใช้งานอเนกประสงค์ โดยในปี 2567 คาดว่าตลาดยังคงมีการแข่งขันเข้มข้นเช่นเดิม
สำหรับภาพรวมธุรกิจของนันยางในปีที่ผ่านมานั้นดีขึ้นกว่าปี 2565 ค่อนข้างมากเพราะนันยางได้รุกทำกิจกรรมการตลาดและการขายต่อเนื่องตลอดทั้งปีทำให้ผู้บริโภคได้สัมผัสและเข้าถึงอย่างใกล้ชิด ประกอบกับได้รับแรงหนุนทางเศรษฐกิจโดยรวมที่ดีขึ้นเข้ามาเป็นปัจจัยสำคัญ ทั้งนี้ปัจจุบัน “นันยาง” ประกอบด้วยไลน์สินค้าหลัก 4 รายการ
- รองเท้าผ้าใบพื้นเขียวนันยาง กลุ่มสินค้าหลักใช้ตั้งแต่ นักเรียน ไปจนถึง คนทั่วไป
- นันยาง Have Fun เน้นกลุ่มเจาะกลุ่มเด็กประถมศึกษา เป็นหลัก นำ้หนักเบา นุ่ม ไม่ต้องผูกเชือก
- รองเท้าผ้าใบซูเปอร์สตาร์ เจาะตลาดผ้าใบราคาย่อมเยา
- นันยางซาฟารีเจาะตลาดคนทั่วไปเด็กมหาวิทยาลัย
หยุดการบูลลี่ในโรงเรียน Insight แคมเปญที่เข้าใจหัวอกเด็กรุ่นใหม่
นอกจากเรื่องการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตด้านยอดขายแล้ว หนึ่งในพันธกิจที่ “นันยาง” เดินหน้าขับเคลื่อนมา “ยุติการบูลลี่ในโรงเรียน” คือสิ่งที่ใช้สื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายมานานกว่า 3 ปี เพื่อแก้ไขปัญหาการบูลลี่ในโรงเรียน เป็นกระบอกเสียงถึงรุ่นพี่ ในโรงเรียนถึงการหยุดบูลลี่ซึ่งนับเป็นปัญหาหลักของนักเรียนในโรงเรียนทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย
จากสถิติเมื่อดูทุกช่วงอายุ พบว่า วัยรุ่น Gen Z 24.83% มีความเครียด ขณะที่ 64% ของวัยรุ่นปัญหาความเครียดเป็นอันดับ 1 โดย 57.4% วัยรุ่นมีความเครียดมากกว่าปกติ และเกือบ 30% วัยรุ่นไทยมีปัญหาสุขภาพจิต และเสี่ยงเป็นซึมเศร้า ในขณะที่ช่วงอายุอื่นๆมีอัตราเสี่ยงเพียง 10%
นอกจากนี้ยังพบว่าวัยรุ่นมีความรู้สึกกดดันตัวเองและรู้สึกว่าตัวเอง ‘ยังดีไม่พอ’ ซึ่งปรากฏการณ์นี้บอกว่าไม่ใช่แค่คุณครูหรือนักจิตวิทยาที่มีหน้าที่สื่อสารและแนะนำให้เขาหัดเป็นเพื่อนกับตัวเองได้มากขึ้น แต่ทุกคนมีส่วนในการเป็นกระบอกเสียงกับสังคมและช่วยเหลือเรื่องนี้ด้วยการเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีให้วัยรุ่นได้ ไม่กดดัน ทำให้เขาตระหนักรู้และเข้าใจ ว่าเขามีจังหวะค่อยๆ ไปต่อได้ เขาดีพอนะ ดีกว่ารอให้ปัญหาใจติดอยู่กับเขาจนมันบานปลายในวัยผู้ใหญ่”
จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “พอดีไม่เหมือนกัน” นั้น โดยเริ่มจากกิจกรรม ตู้ถ่ายภาพอินเทรนด์ให้ได้มาถ่ายรูปรอยเท้าตัวเอง เพื่ออวดรอยเท้าพอดีไม่เหมือนกันของทุกคน เพื่อสร้างกำลังใจแก่นักเรียนทุกคน โดยมีแพลตฟอร์ม “ดูใจตน วอลเล็ต” เติมความใจดีให้กับตัวเอง โดยเปิดช่องทางในการรับฟัง เข้าใจ และให้คำแนะนำแก่ผู้ที่กำลังเผชิญหน้ากับการกดดันตนเอง ให้กลับมาใจดีกับตัวเองให้มากขึ้นผ่านทาง www.พอดีไม่เหมือนกัน.com
“ดูใจตน วอลเล็ต” เป็นการชักชวนให้วัยรุ่นได้มาสำรวจใจตัวเอง ผ่านแบบประเมินทางจิตวิทยาเพื่อสำรวจความใจดีกับตัวเอง แบ่งปันข้อความปลอบประโลมใจ เพื่อสร้างความตระหนักรู้ ส่งเสริมสุขภาวะที่ดี ป้องกันปัญหาสุขภาพใจ และช่วยให้นักเรียนรู้สึกเบากับความรู้สึกและปัญหาที่ต้องเผชิญมากขึ้น เพราะคนแต่ละคนมีดีในแบบของตนเอง ลดการเปรียบเทียบกับผู้อื่นให้น้อยลง
“เรามองว่าเราเป็นมากกว่ารองเท้านักเรียนแต่ยังเป็นหนึ่งในมีเดีย ดังนั้นการจึงอยากจะเป็นกระบอกเสียง ในการสื่อสารออกไป นันยางจึงดึง Insight ปัญหาของวัยรุ่น Gen Z ที่ต้องเผชิญปัญหาการบูลลี่ในรั้วโรงเรียนเป็นหัวใจสำคัญในการแก้ไข โดย3 ปีที่ผ่านมาจักรวาลบูลลี่ในโรงเรียนยังคงมี ส่วนแคมเปญของนันยางมีผลตอบรับดี โดยเฉพาะนักเรียน โรงเรียนขนาดใหญ่ตระหนักปัญหาและตระหนักในการแก้ไขมากขึ้น ” ดร.จักรพล จันทวิมล กล่าวทิ้งท้าย
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE