แม้ชื่อของ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ Supalai จะเป็นแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่อยู่คู่คนไทยมายาวนาน และมีการเติบโตต่อเนื่องทุกปี ทั้งยังติด 1 ใน 5 บริษัทอสังหาฯ ที่มีผลกำไรสูงสุดในอุตสาหกรรม แต่เมื่อมาดู Product Portfolio จะพบว่า สัดส่วนอสังหาฯ ระดับไฮเอนด์ยังมีน้อยมาก ทำให้เมื่อพูดถึงแบรนด์ศุภาลัย ส่วนใหญ่จะนึกถึงบ้านและคอนโดคุณภาพ ในราคาเข้าถึงได้
แต่ล่าสุดศุภาลัยตัดสินใจผุดโครงการมิกซ์ยูสใจกลางสาทร “ศุภาลัย ไอคอน สาทร” ซึ่งเป็นโปรเจคใหญ่และลักชัวรี่ครั้งแรกในรอบ 35 ปี จึงน่าสนใจว่า ศุภาลัยมองเห็นโอกาสอะไรถึงอยากเข้ามารุกตลาดนี้มากขึ้น และกลยุทธ์การทำตลาดไฮเอนด์เพื่อเจาะตลาดนี้จะเป็นอย่างไร ตามมาเจาะลึกวิธีคิดเรื่องนี้จาก “คุณไตรเตชะ ตั้งมติธรรม” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)
ตลาดคอนโด “สาทร” ยังไปได้ ทำเลศักยภาพ-หายาก
เหตุผลที่ทำให้ศุภาลัยสนใจพัฒนาโครงการในย่านสาทร คุณไตรเตชะ อธิบายว่า สาทรเป็นทำเลที่มีศักยภาพ เพราะแวดล้อมด้วย Business Center ที่อยู่อาศัย สถาบันการศึกษา โรงแรม โรงพยาบาล และร้านอาหารชั้นนำ อีกทั้งที่ดินเปล่าสำหรับการพัฒนาเหลือน้อยมาก ทำให้ราคาที่ดินในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาสูงขึ้น จากในปี 2554 ราคาอยู่ที่ 1 ล้านบาทต่อตารางวา ขยับมาเป็น 2.5 ล้านบาทต่อตารางวา และเมื่อมามองคอนโดที่เปิดตัวในย่านสาทร คุณไตรเตชะ บอกว่า ปัจจุบันมี 7 โครงการที่สร้างเสร็จแล้ว และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง 1 โครงการ โดยมีห้องชุดรวม 1,955 ยูนิต ปัจจุบันขายได้ 1,640 ยูนิต เหลือขายเพียง 315 ยูนิต จึงมองเห็นโอกาสของตลาดคอนโดในย่านสาทรยังไปได้ดี
หลังจากประมูลซื้อที่ดินบนพื้นที่เกือบ 8 ไร่บนถนนสาทร ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของสถานทูตออสเตรเลียมานาน 39 ปี จึงตัดสินใจพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูสระดับลักชัวรี่ “ศุภาลัย ไอคอน สาทร” มูลค่า 20,000 ล้านบาท ประกอบด้วยคอนโดหรู 61% ราคาเริ่มต้น 8.9 – 134 ล้านบาท เซอร์วิสอะพาร์ตเมนต์ 10% และออฟฟิศ รีเทล 29% โดยใช้เวลาในการพัฒนาโครงการอยู่เกือบ 4 ปี จนปัจจุบันก่อสร้างเสร็จ และมียอดขายคอนโดแล้ว 30% คิดเป็นมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท
“แม้ตอนนี้ยอดขายอาจจะดูไม่สูงมาก แต่ถ้าเทียบกับสถานการณ์ต่างๆ ถือว่าโอเค และหากเทียบกับศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39 มูลค่าของศุภาลัย ไอคอน สาทร สูงกว่า อีกทั้งเราเน้นห้องชุดขนาดใหญ่ 3-4 ห้องนอน ทำให้ลูกค้ามักรอให้ตึกสร้างเสร็จก่อนเพื่อชมห้องจริง และพอตึกเสร็จ ลูกค้าได้เห็นห้องจริง ตอนนี้ยอดขายก็วิ่งเร็วกว่าเดิม และขายห้องใหญ่ได้มากขึ้น”
เดินเกมรีวิว-ขายผ่านเอเยนต์ มั่นใจสิ้นปียอดขายแตะ 50%
ในส่วนของออฟฟิศและรีเทล ปัจจุบันมีผู้เช่าแล้ว 20% ขณะที่รีเทล มียอดประมาณ 15% ซึ่งคุณไตรเตชะ บอกว่า สถานการณ์ตลาดออฟฟิศตอนนี้เป็นช่วงเวลาปรับตัว จากซัพพลายที่สร้างเสร็จใหม่เข้ามาในตลาดพร้อมกัน ขณะที่ดีมานด์ทรงตัว เพราะหลังโควิดหลายบริษัทปรับลดการใช้พื้นที่น้อยลง บวกกับต้องรอผู้ประกอบการหมดสัญญาเช่าจากที่เดิม แต่ด้วยอัตราค่าเช่าที่ไม่สูงมากจำนวน 1,000 บาทต่อตร.ม. จึงเชื่อว่าจะสามารถแข่งขันได้
สำหรับกลยุทธ์การรุกตลาดคอนโดมิเนียมไฮเอนด์หลังจากนี้ คุณไตรเตชะ บอกว่า ลูกค้าคนไทยจะเน้นการรีวิวเพื่อให้เห็นพื้นที่และการใช้ชีวิตจริงมากขึ้น ส่วนลูกค้าชาวต่างชาตินั้นเพิ่งเริ่มทำตลาด โดยจะเน้นทำตลาดผ่านเอเยนต์ เพราะพฤติกรรมของลูกค้าชาวต่างชาติเปลี่ยนแปลงไป นิยมมาเมืองไทยเพื่อดูโครงการจริง จากเดิมนิยมซื้อกระดาษ และหากชอบก็ซื้อเลย
“ตลาดคอนโดระดับ 200,000 บาท ต่อตร.ม. ขึ้นไป เริ่มดีขึ้น เพราะมีซัพพลายเหลือขายในตลาดน้อยลง ส่วนซัพพลายใหม่เข้ามาในตลาดก็ไม่มาก จากก่อนโควิดมี 15 แปลงต่อเดือน แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 3-4 แปลงต่อเดือนเท่านั้น ส่งผลให้ตลาดยังไปได้”
คุณไตรเตชะ ย้ำด้วยความมั่นใจ แต่ด้วยโครงการศุภาลัย ไอคอน สาทรที่มีขนาดใหญ่ บวกกับราคาคอนโดที่สูง จึงต้องใช้เวลาสักพัก โดยตั้งเป้าสิ้นปีนี้จะทำยอดขายได้ 50%
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE