ความยั่งยืน (Sustainability) หนึ่งในเทรนด์ที่กำลังมาแรงในโลกธุรกิจเพราะนอกจากจะสร้างการเติบโตในระยะยาวแล้ว Sustainability ยังเป็นเทรนด์ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมคนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับแบรนด์ ที่ดำเนินธุรกิจผ่านเรื่องของความรับผิดชอบต่อสังคมมากขึ้น
วัตสัน (Watsons) คืออีกหนึ่งค้าปลีกความงามระดับโลกที่กรอบแนวคิดร้านค้าเพื่อความยั่งยืน (Greener Stores Global Framework) อันเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการขับเคลื่อนสู่การเป็นร้านค้าปลีกที่มีความเป็นมิตรและสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่น้อยลงทั้งในเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอนการใช้น้ำการกำจัดของเสียตลอดจนการยกระดับความเข้มข้นในการพัฒนาโลกและสิ่งแวดล้อมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนขึ้น
คุณพสิษฐ์ มั่นคงขันติวงศ์ กรรมการผู้จัดการ วัตสัน ประเทศไทย กล่าวว่า เพื่อเป็นการสร้างการเติบโตแบบยั่งยืนในไทย ปีนี้วัตสัน ประเทศไทยยังคงเดินหน้าแผนงานด้วยการยึดความต้องการของลูกค้ามาเป็นหลัก Customer Centric มาเป็นคีย์หลักในการสร้างแบรนด์เพื่อให้เข้าไปในอยู่ในใจของลูกค้า ที่ผสานเอาความการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมมาสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
ผุดโมเดล “Greener Store” กลยุทธ์ “ร้านสีเขียว” สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน
ความน่าสนใจของกลยุทธ์สำคัญที่ “วัตสัน” ขับเคลื่อนในการเติบโตของแบรนด์ในไทยคือ การขยายการเติบโต ควบคู่ไปกับการส่งเสริมด้านความยั่งยืน และในฐานะร้านเพื่อสุขภาพและความงามแห่งแรกที่มีสาขาครอบคลุม 77 จังหวัดทั่วประเทศไทย
โดยมีโมเดล Greener Store (ร้านค้าเพื่อความยั่งยืน) ซึ่งเป็นรูปแบบร้านค้าเพื่อความยั่งยืนของวัตสัน ที่ได้นำร่องเป็นสาขาแรกที่ “สยามสแควร์” โดยการนำเสนอแนวคิดและมาตรการต่างๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาปรับใช้ในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศ อาทิ การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคา และการเลือกใช้วัสดุตกแต่งที่ผลิตจากกระดาษและไม้รีไซเคิล ซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ฯลฯ โดยจะสามารถช่วยลดคาร์บอนหรือพลังงานสะอาดได้ถึง 25% ซึ่งถือเป็นการซัพพอร์ตด้านสิ่งแวดล้อมได้ระดับหนึ่ง
ทั้งนี้แนวคิด Greener Store ถือเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นของวัตสันในการสร้างวัฒนธรรมที่บ่มเพาะความยั่งยืนในกระบวนการดำเนินงาน และปฏิบัติการต่างๆ ในทุกๆ วัน ซึ่งแนวคิดดังกล่าวจะมุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญต่างๆ เช่น การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดใช้พลังงาน รวมถึงเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียน และการมีส่วนร่วมของลูกค้าจากนี้ไปวัตสันวางเป้าหมายขยายสาขา Greener Store อย่างต่อเนื่องในสาขารูปแบบสแตนด์อะโลน ซึ่งโมเดลนี้จะเข้ามาเป็นแนวทางเพื่อความยั่งยืนของร้าน
“ปัจจุบัน 95% เป็นร้านที่อยู่ในห้างสรรพสินค้าหรือคอมมูนิตี้มอลล์ ขณะที่ส่วนที่จะสามารถทำเป็นโมเดล Greener Store ได้จะต้องเป็นรูปแบบสแตนด์อะโลน ทำให้เรามีพื้นที่ค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะเรื่องการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาที่เป็นอุปสรรค ทำให้โมเดลนี้ใช้ได้กับเฉพาะแสตนด์อะโลน เราจึงยังไม่สามารถตอบได้ว่าโมเดลนี้จะขยายได้มากน้อยขนาดไหน แต่หากมีโอกาสและทำเลเราจะเดินหน้าขยายทันที” คุณพสิษฐ์กล่าว
นอกจากนี้ยังมีการใช้รถพลังงานไฟฟ้า EV Truck ทั้งขนาดใหญ่และเล็ก มาใช้ในการขนส่งสินค้า ที่เริ่มนำมาปรับใช้อย่างเป็นทางการในช่วงเดือนพฤษภาคม 2567 มีเป้าหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซต์ ปัจจุบันมี EV Truck ทั้งสิ้น 6 คัน แบ่งเป็น รถหัวลาก 2 คัน และรถบรรทุกขนาดเล็ก 4 คัน โดยสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้ 50%
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมา สินค้าภายใต้แบรนด์ของวัตสันได้รับการเปลี่ยนมาบรรจุในบรรจุภัณฑ์ที่เป็นพลาสติกรีไซเคิลถึง 17% ซึ่งในปี 2025 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 30% และในปี 2030 นั้น คาดว่าจะลดพลังงานคาร์บอนของแต่ละสาขาให้เพิ่มขึ้นได้จาก 25% เป็น 30% โดยมีสินค้ากว่า 1,400 รายการที่อยู่ในหมวดบรรจุภัณฑ์รักษ์โลก จากจำนวนสินค้าทั้งสิ้น 5,000 รายการ
กางแผนขยายเพิ่มปีละ 50 สาขา ต่อเนื่อง 5 ปี หลังแนวโน้มตลาดสุขภาพความงามโตแรง
คุณพสิษฐ์ ยังกล่าวอีกว่า ตลอดช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา “วัตสัน” สร้างการเติบโตในไทยผ่านชูกลยุทธ์การช้อปปิ้งระหว่างสองแพลตฟอร์ม ทั้ง Online และ Physical Store หรือที่เรียกว่าแพลตฟอร์ม “O+O” ที่ทางค่ายพัฒนาขึ้นมาเพื่อรองรับพฤติกรรมลูกค้า พร้อมทั้งเก็บเป็นฐานข้อมูลสำคัญในการพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาด โดยมีการมอบสิทธิพิเศษจากแคมเปญ “โปรโมเชื่อม” ให้แก่ลูกค้าเมื่อมีการช้อปปิ้งผ่านสองแพลตฟอร์ม ในระยะเวลาที่กำหนด เพื่อเป็นการสร้างแบรนด์และมัดใจลูกค้าให้เป็นสมาชิกแบรนด์ต่อไป จนประสบความสำเร็จและสามารถสร้างการเติบโตเป็นดับเบิ้ลดิจิตได้ในปีที่ผ่านมา
ในปี 2567 วัตสัน ยังคงมุ่งหน้าชูกลยุทธ์การชอปปิ้งออฟไลน์และออนไลน์ (O+O) เพื่อส่งเสริมการมีส่วนร่วมของลูกค้า รวมถึงการต่อยอดให้กับสินค้าภายใต้แบรนด์วัตสัน โดยทั้งหมดนี้ ตอกย้ำความมุ่งมั่นของวัตสันในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพื่อสร้างการเข้าถึงที่ง่าย และสะดวกสบายให้กับลูกค้า ตอบรับความต้องการของลูกค้าทั่วประเทศ
โดยในปีนี้ตั้งเป้าเปิดสาขาใหม่รวม 50 สาขา รวมถึงพัฒนาหน้าร้านที่มีอยู่อีกด้วย แบ่งเป็นสแตนด์อะโลน 10 แห่ง (โมเดล Greener Store) รีโนเวต 80 สาขา จากปัจจุบันที่มีอยู่ 700 สาขา เพื่อให้มีความพร้อมและความสามารถในการตอบสนองผู้บริโภคให้มากขึ้น
“ด้วยประชากรในไทยที่มากกว่า 70 ล้านคน มีรายได้ ความรู้ความสามารถในการรักษาสุขภาพ ตลาดนี้โตต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ทำให้เชื่อว่าเราจะสามารถขยายสาขาได้ปีละ 50 แห่งไปจนถึงอีก 5 ปีข้างหน้า หรือเพิ่มอีก 250 แห่ง แน่นอนเมื่อถึงวันนั้นเราจะมีสาขาในไทยมากกว่า 1,000 แห่งซึ่งเป็นสเกลที่ใหญ่ และแม้เราจะขยายสาขาเยอะมาก แต่ไม่มีการลดขนาดสาขา เพราะความต้องการของลูกค้ามีมากขึ้น ลูกค้าต้องการพื้นที่และสินค้าที่หลากหลายและตอบโจทย์เช่นกัน” คุณพสิษฐ์กล่าว
พร้อมกันนี้ยังตอกย้ำการเป็นผู้นำสินค้าสุขภาพด้วยการเปิดตัวแบรนด์ วัตสัน เดย์ไวต้า (Day-Vita) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารภายใต้แบรนด์วัตสัน โดยการเปิดตัวในครั้งนี้ เป็นการใช้ความเชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่มีมาอย่างยาวนานของวัตสัน ประกอบกับความเข้าใจในผู้บริโภค ช่วยให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงการมีสุขภาพที่ดีได้ง่าย สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ในราคาที่เหมาะสม
อย่างไรก็ดีในปีที่ผ่านมา ผลประกอบการของวัตสันเติบโตสองดิจิต ซึ่งเป็นการเติบโตที่น่าพอใจ โดยปีนี้วางเป้าหมายเติบโตเป็นตัวเลขสองดิจิตเช่นเดิม ขณะที่ผลประกอบการในไตรมาส 1 ที่ผ่านมายอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
อ่านเพิ่มเติม
- วัตสัน เผยแนวคิดร้านค้า เพื่อสิ่งแวดล้อม มุ่งสานต่ออนาคตที่ยังยืน เปิดตัว Watson Refill Station
- ส่องอินไซต์ความงามหลังโควิด “วัตสัน” ทำอย่างไร เมื่อผู้ชาย Go Beyond Beauty และการคืนชีพของเมคอัพ-ลิปสติก