HomeBig Featuredถอดบทเรียน 20 ปี “เถ้าแก่น้อย” เคล็ดลับความสำเร็จ อยู่ที่ “โฟกัส” ในสิ่งที่ถนัด

ถอดบทเรียน 20 ปี “เถ้าแก่น้อย” เคล็ดลับความสำเร็จ อยู่ที่ “โฟกัส” ในสิ่งที่ถนัด

แชร์ :

“เถ้าแก่น้อย” แบรนด์ที่สร้างปรากฏการณ์ในวงการธุรกิจเมืองไทยในฐานบทเรียนแห่งความสำเร็จเพียงของคนรุ่นใหม่ ที่มีความมุ่งมั่น และมีใจรักในสิ่งที่ทำจนสามารถสร้างยอดขายเติบโต จนสามารถเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และกลายเป็นแบรนด์ขนมรายใหญ่ในระดับภูมิภาคได้ในที่สุด

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

บนเส้นทางกว่า 20 ของ “เถ้าแก่น้อย” ภายใต้การกุมทัพของ “คุณต๊อบ- อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์”  ฝ่าฟันมรสุมมาแล้วมากมาย และถูกนำมาถ่ายทอดในหลากลายรูปแบบ จนถึงการนำพาแบรนด์จนสร้างความแข็งแกร่งเป็นที่ยอมรับสามารถโกยรายได้ในหลายพันล้านบาท

จากความฝันของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่คนไทยคุ้นเคยกันดีทั้งผ่านเรื่องเล่า รายการ ไปจนถึงภาพยนตร์ที่ถ่ายทอดเส้นทางฝันของเด็กหนุ่ม กับฝันใหญ่ที่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง ฝ่าฟันจนประสบความสำเร็จ “คุณต๊อบ” บอกว่า ตลอด 20 ปีที่ผ่านมาบทเรียนสำคัญที่สุดของ “เถ้าแก่น้อย” คือคำว่า “โฟกัส” แม้จะเป็นเพียงคำสั้นๆ แต่ว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก  เพราะหากว่าอยากจะทำอะไรให้สำเร็จนั้น ประเด็นสำคัญคือต้อง “โฟกัส” ในสิ่งที่เชี่ยวชาญ มีความสามารถที่จะต่อยอดได้อย่างต่อเนื่อง หรือการพาแบรนด์ที่สำเร็จยากจุดหนึ่ง ก้าวข้ามไปยังอีกจุดหนึ่งให้ได้

เช่นเดียวกับ “เถ้าแก่น้อย” ที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้วในประเทศไทย วันหนึ่งเราก็พาแบรนด์ไปประสบความสำเร็จในอาเซียน พออาเซียนได้ตามเป้าหมายแล้ว ก้าวต่อไปของเราคือ ต้องกลายเป็นแบรนด์ระดับโลกให้ได้ในที่สุด แน่นอน สิ่งที่ทำให้เราได้ตามเป้าหมายพวกนี้ก็คือ เราจะต้องโฟกัสที่ธุรกิจหลักอย่างต่อเนื่อง และนั่นจะทำให้เราเติบโตในธุรกิจได้อย่างยั่งยืน

 

คุณต๊อบ- อิทธิพัทธ์ พีระเดชาพันธ์

 

“ไม่ว่าจะทำอะไรขอให้ตั้งใจและโฟกัสให้ถึงที่สุด  ซึ่งจะเห็นได้ว่าตลอด 20 ปีที่ผ่านมา จากยอดขายเพียง 1 ล้านบาท จนทุกวันนี้มียอดขายในระดับ 6,000 ล้านบาท และต้องบอกว่า ความสำเร็จที่เราทำได้กว่า 95% มาจากการที่ทีมบริหารทุกคนมีการโฟกัสในสิ่งที่ทำ”

“การสร้างแบรนด์ไทยให้เติบโตและมีชื่อเสียงในระดับโลก ต้องเริ่มจากการสร้างรากฐานของแบรนด์ให้แข็งแกร่ง เถ้าแก่น้อย จึงได้รุกสร้างการเติบโตในตลาดต่างประเทศอย่างเต็มกำลัง โดยในแต่ละประเทศมีทิศทางและการทำงานที่ต้องปรับให้เข้ากับพฤติกรรมการบริโภค วัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ ความเป็นอยู่ของผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ เพื่อเข้าไปอยู่ในใจเขาให้มากที่สุด”

 

ฝันใหม่ Global Brand กับการปูทางสาหร่าย 100 ประเทศในตลาดโลก 

แน่นอนความสำเร็จของ “เถ้าแก่น้อย” ไม่ใช่แค่ในประเทศไทยเท่านั้น หากแต่ยังขยายตลาดไปแล้ว 50 ประเทศทั่วโลก โดยมีกลุ่มตลาดหลักใน 5 ประเทศ ได้แก่ จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และแคนาดา โดยปัจจุบัน (ไตรมาส 1/67 ) เถ้าแก่น้อยมียอดขายต่างประเทศเป็นสัดส่วนกว่า 65% ของยอดขายรวมทั้งหมด

แผนงานต่อจากนี้จึงเดินหน้ากลยุทธ์ “3GO” อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลยุทธ์ “GO Broad” คือการขยายธุรกิจให้กว้างขึ้น โดยไม่ได้จำกัดการผลิตและจำหน่ายสินค้าในรูปแบบเดียว แต่จะพัฒนาสินค้ากลุ่มใหม่ๆ เพื่อขยายพอร์ตสินค้า พร้อมมุ่งเน้นบริหารจัดการยอดขาย (Revenue Management) ด้วยการบริหารสินค้าและช่องทางการขายที่มีกำไรดี (Product Mix and Channel Mix) ให้มีประสิทธิภาพ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการเติบโตอย่างน้อย 15% ผ่านช่องทางทั้งในประเทศและต่างประเทศที่มีศักยภาพ

 

 

ยุทธศาสตร์ในตลาดต่างประเทศของ “เถ้าแก่น้อย” จากนี้ไปคือการมุ่งสร้างการเติบโตแบบยั่งยืน โดยเริ่มจากในประเทศให้มีความแข็งแกร่ง  ขณะที่ปี 2567 คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงปีก่อน อย่างไรก็ตามคาดว่าภาพรวมตลาดขนมขบเคี้ยวจะมีอัตราเติบโตไม่ต่ำกว่า 7.9% ขณะที่ TKN สร้างการเติบโตในปี 2566 ได้ถึง 22% สูงกว่าการเติบโตของตลาดขนมขบเคี้ยว โดยมีปัจจัยสำคัญมาจาก 

  1. ดีมานด์สาหร่ายที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มประเทศหลัก จีน อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดย เถ้าแก่น้อย เข้าไปทำกิจกรรมการตลาดให้สอดรับกับการบริโภคของตลาดที่เกิดขึ้น 
  2. การขยายช่องทางตลาดที่สำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา โดยสามารถเจาะเข้าสู่ช่องทาง Modern Trade (MT) เป็นหลัก เช่น ห้าง Costco และห้าง Wholefood 
  3. กระแสการบริโภคสาหร่ายตามเทรนด์เพิ่มขึ้น แม้ปัจจุบันคู่แข่งในตลาดจะเพิ่มขึ้น แต่ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและรสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” จึงเป็นตัวเลือกอันดับแรก ของกลุ่มผู้บริโภค ส่งผลให้ยอดขายในตลาดต่างประเทศ โดย ณ ไตรมาส 1/67 เติบโต 13.5% และคิดเป็นสัดส่วนรายได้กว่า 65% ของยอดขายรวมเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

โดยเป้าหมายใหญ่ของ “เถ้าแก่น้อย” คือการพาแบรนด์ทะยานไปยังตลาดโลกหรือระดับ Global Brand และจะต้องวางจำหน่ายให้ได้ 100 ประเทศทั่วโลก แน่นอนว่าเป้าหมายจะต้องไม่เกินอีก 10 ปีข้างหน้าจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน

 

ชู “อินโดนีเซีย” 1 ใน 5 ตลาดหลักที่เป็น “อนาคต” สำคัญของ “เถ้าแก่น้อย”

ล่าสุดกับการแต่งตั้งพันธมิตรใหม่ในอินโดนีเซีย กับ บริษัท PT Sukanda Djaya เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่าย (Distributor Partner) สินค้าของบริษัท ในประเทศอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการตั้งแต่ไตรมาส 4/66 ที่ผ่านมา เพื่อขยายผลิตภัณฑ์สาหร่ายเถ้าแก่น้อย ผ่านช่องทางจำหน่ายหลากหลาย ทั้งช่องทาง Modern Trade (MT) ช่องทาง Traditional Trade (TT) และ Horeca รวมถึงช่องทาง E-commerce ซึ่งเป็นส่วนที่พันธมิตรมีความเชี่ยวชาญ และมองว่ามีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก

“เถ้าแก่น้อยเข้าไปทำตลาดในอินโดนีเซียมา 16 ปีแล้ว แน่นอนที่นี่คือหนึ่งในตลาดหลักที่เราต้องโฟกัส ถือเป็น 1 ใน 5 ตลาดหลักที่เป็นอนาคตของเถ้าแก่น้อย ดังนั้นการที่เราได้พาร์ตเนอร์ใหม่ ทำให้เราสามารถขยายตลาดช่องทางต่างๆให้กว้างมากขึ้น และทำให้แบรนด์เถ้าแก่น้อยสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น”

 

 

สำหรับพาร์ตเนอร์รายใหม่ PT Sukanda Djaya ถือว่ามีความแข็งแกร่งด้านการตลาด การกระจายสินค้าราย และยังเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Dairy Items ต่างๆ ทั้งผลิตภัณฑ์นม โยเกิร์ต ไอศกรีม ซึ่งผลิตภัณฑ์เหล่านี้ล้วนสะท้อนศักยภาพในการกระจายสินค้าของยักษ์ใหญ่แห่งอินโดนีเซียรายนี้ เพราะสินค้าเหล่านี้มีอายุสั้น จะต้องใช้เวลา เทคโนโลยีเป็นสำคัญในการกระจายสินค้า

“อินโดนีเซียเป็นตลาดมุสลิมที่นิยมการบริโภคสาหร่ายเพิ่มมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมาและมีศักยภาพการเติบโตสูง โดยการทำตลาดนับจากนี้จะเน้นการสื่อสารผ่าน Key Opinion Leader (KOLs) หรือ Influencer ที่เป็นชาวมุสลิม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับกลุ่มผู้บริโภค รวมถึงจัดกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ในช่วงเทศกาลสำคัญอย่างเช่น รอมฎอน (ถือศีลอด) ได้ร่วมกับพันธมิตรออกบูธในงาน Jakarta Lebaran Fair ที่กรุงจาการ์ตา ซึ่งได้ผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค”

สำหรับเป้าหมายใหญ่ของ “เถ้าแก่น้อย” ในอินโดนีเซียคือการขึ้นเป็นผู้นำในตลาดสาหร่ายทั้งหมดของอินโดนีเซียใน 5 ปีข้างหน้า (2570) จากปัจจจุบันที่แบรนด์ ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ในกลุ่มสแนคนำเข้า โดยปีที่ผ่านมาเถ่าแก่น้อยสามารถทำรายได้ในอินโดนีเซียกว่า 600 ล้านบาท โดยปีนี้วางเป้าเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 20% โดยปัจจุบัน เถ้าแก่น้อยมีสินค้าอยู่บนชั้นวางสินค้าครอบคลุม Modern Trade ในอินโดนีเซียกว่า 80% และยังสามารถเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะช่องทาง Traditional Trade และ E-Commerce  นอกจากนั้น เราได้มีการขยายตลาดสินค้ากลุ่มสาหร่ายอบ

ทั้งนี้ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคในวงกว้างมากขึ้น โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีสัดส่วนยอดขายจากอินโดนีเซีย 15% จากยอดขายตลาดต่างประเทศ และคาดว่ายอดขายในอินโดนีเซียจะเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 30% พร้อมเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดผลิตภัณฑ์สาหร่าย เพื่อยกระดับแบรนด์ “เถ้าแก่น้อย” สู่ Global Brand ในอนาคต

 

ติดตามพวกเราได้ที่ LINE


แชร์ :

You may also like