HomeBrand Move !!ดีลอยท์เปิด 5 เทคนิคดีล “Gen Z – Millennial” ในออฟฟิศให้อยู่หมัด

ดีลอยท์เปิด 5 เทคนิคดีล “Gen Z – Millennial” ในออฟฟิศให้อยู่หมัด

แชร์ :

ดีลอยท์เผยผลสำรวจ Gen Z และ Millennial ประเทศไทย ประจำปี 2567 พบ “ค่าครองชีพ” ยังเป็นความกังวลอันดับหนึ่ง ขณะที่แนวโน้มเกิดความเครียดน้อยลง พร้อมแนะแนวทางสร้างบรรยากาศให้ Gen Z – Millennial ทำงานอย่างมีความสุข

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ข้อมูลดังกล่าวมาจากผลสำรวจ Global 2024 Gen Z and Millennial Survey จัดทำขึ้นโดยดีลอยท์เกี่ยวกับแนวคิดเชิงลึกของคนใน Gen Z และ Millennial จำนวน 22,841 คนจาก 44 ประเทศทั่วโลก โดยมีคนไทยที่เข้าร่วมการตอบแบบสอบถามทั้งหมด 301 คน แบ่งเป็น Gen Z 201 คน และ Millennial จำนวน 100 คน

สิ่งที่ผลการสำรวจพบก็คือ ชาว Gen Z ของไทยมีความกังวลเรื่องค่าครองชีพเป็นอันดับหนึ่ง (37%) ตามมาด้วยปัญหาการว่างงาน (36%) และความเหลื่อมล้ำ (21%)

ส่วน Millennial มีความกังวล 3 อันดับแรกได้แก่ ค่าครองชีพ (37%) การความเหลื่อมล้ำทางรายได้และความมั่งคั่ง (26%) และ ความไม่มั่นคงทางการเมือง/ความขัดแย้งระดับโลก (24%)

ปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมอะไรบ้างที่มีผลกับสุขภาพจิตของคนไทย

นอกจากนั้นยังพบว่าผู้ตอบแบบสอบถาม Gen Z ในประเทศไทย 42% และ Millennial 60% รู้สึกดีถึงดีมากกับสภาพจิตใจโดยรวมของตนเองในปัจจุบัน เทียบกับปี 2566 โดยคนทั้งสองกลุ่ม ระบุว่ามีความเครียดน้อยลง จากเครียดตลอดเวลาหรือเกือบตลอดเวลา ลดลงจาก 51% เหลือ 40% และ มิลเลนเนียล ลดลงเล็กน้อยจาก 39% เหลือ 38% เหตุผลที่สร้างความเครียด ได้แก่ การเงินในอนาคต การเงินในชีวิตประจำวัน และ งาน

ส่วนความคาดหวังของ Gen Z และ Millennial ไทยต่อสถานการณ์เศรษฐกิจและการเงินว่าจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้นในอีก 12 เดือนข้างหน้า “ลดลง” เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยความคาดหวังต่อภาพรวมเศรษฐกิจของ Gen Z ลดลงจาก 27% เหลือ 15% และ Millennial ลดลงจาก 26% เหลือ 22%

ขณะที่ความคาดหวังต่อสถานการณ์การเงินของตัวเอง ของ Gen Z ลดลงจาก 37% เหลือ 19% และ Millennial ลดลงจาก 38% เหลือ 33% และ ความคาดหวังต่อสถานการณ์โดยรวมของเศรษฐกิจ/การเมืองของ Gen Z ลดลงจาก 27% เหลือ 15% และ Millennial ลดลงจาก 24% เหลือ 23%

คาดหวังภาคธุรกิจลดความเหลื่อมล้ำ

ผลสำรวจพบว่า 42% ของ Gen Z และ 45% ของ Millennial เชื่อว่าองค์กรภาคธุรกิจสร้างผลกระทบเชิงบวกกับสังคม ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ 49% และ 47% ตามลำดับ ทั้งนี้ คนไทยรุ่นใหม่มีความคาดหวังว่าภาคธุรกิจควรมีบทบาทในการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม โดยมองภาคธุรกิจควรสร้างโอกาสการมีส่วนร่วมของพนักงาน ให้ผลตอบแทนที่เท่าเทียมและโปร่งใส สนับสนุนด้านทุนการศึกษา และ สร้างความมั่นใจว่าเทคโนโลยีใหม่ ๆ จะไม่มาซ้ำเติมให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางสังคมเพิ่มมากขึ้น

ยอมจ่ายแพงถ้าสินค้าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

เมื่อถามถึงความรู้สึกต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ Gen Z และ Millennial ในประเทศไทย 81% และ 92% ตามลำดับ ตอบว่ามีความวิตกกังวลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคนกลุ่มเดียวกันทั่วโลกอย่างมีนัยสำคัญ โดย Gen Z 90% และ Millennial 91% มองว่าภาครัฐและภาคธุรกิจควรมีบทบาทในด้านการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศมากขึ้น

ทั้งนี้ 92% ของ Gen Z และ 93% ของ Millennial ยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อใช้สินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยแนวปฏิบัติยอดนิยม ได้แก่

  • หลีกเลี่ยงการซื้อสินค้า Fast Fashion
  • ลดการเดินทาง
  • ศึกษาข้อมูลด้านการสร้างผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของบริษัทก่อนการอุดหนุนสินค้าของบริษัทนั้น ๆ
  • รับประทานมังสวิรัติ หรือ วีแกน (Vegan)
  • เลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้า

ปัจจัยด้านการทำงานไทยสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก

คนรุ่นใหม่ไทยมีเป้าหมายในการทำงานที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก โดย 96% ของ Gen Z ในประเทศไทย และ 99% ของ Millennial ตอบว่าการมีเป้าหมายในการทำงานค่อนข้างสำคัญหรือสำคัญมากต่อความพึงพอใจในงานและความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของที่ 86% และ 89% ตามลำดับ

อย่างไรก็ดี 91% ของ Gen Z ในประเทศไทย และ 93% ของ Millennial ในประเทศไทย บอกว่างานปัจจุบันทำให้ตนเองรู้สึกถึงความมุ่งหมาย (Purpose)

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ 55% ของ Gen Z และ 60% ของ Millennial ในประเทศไทย ปฏิเสธงานที่ได้รับมอบหมายที่ขัดต่อจริยธรรมและความเชื่อของตนเอง โดย 55% ของ Gen Z และ 57% ของ Millennial ปฏิเสธที่จะร่วมงานกับองค์กรที่ขัดต่อจริยธรรมและความเชื่อของตนเอง และจะเลือกทำงานกับองค์กรที่ตอบโจทย์ในการสร้างสมดุลให้ชีวิตและการทำงาน (Work/life Balance) มีโอกาสในการเรียนรู้ และ เป็นงานที่มีความหมาย

ในภาพรวม Gen Z และ Millennial ในประเทศไทยเห็นว่านายจ้างมีความใส่ใจต่อพนักงาน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยโลก โดย 70% ของ Gen Z และ 74% ของ Millennial ตอบว่านายจ้างให้ความสำคัญกับสุขภาพจิตของพนักงาน

นอกจากนี้ 77% ของ Gen Z  และ 76% ของ Millennial ตอบว่ารู้สึกสบายใจที่จะพูดคุยกับผู้จัดการอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความรู้สึกเครียด วิตกกังวล หรือปัญหาด้านสุขภาพจิตอื่น ๆ และ Gen Z 73% และ Millennial 68% บอกว่าหัวหน้างานรู้ว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไรเมื่อมีการพูดคุยสื่อสารเมื่อเกิดความเครียด ซึ่งคำตอบของ Gen Z และ Millennial ไทยทั้งสองกลุ่ม สูงกว่าค่าเฉลี่ยโลกที่ 52% และ 59% ตามลำดับ

ดร. โชดก ปัญญาวรานันท์ และคุณมานิตา ลิ่มสกุล ผู้บริหารจาก ดีลอยท์ คอนซัลติ้ง

คุณมานิตา ลิ่มสกุล ผู้จัดการอาวุโส ฝ่าย Human Capital ดีลอยท์ คอนซัลติ้ง กล่าวว่า “Mental Well-being เป็นเรื่องสำคัญมาก ซึ่ง Gen Z และ Millennial คือแรงงานหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของโลกในวันนี้ องค์กรที่มีความเข้าใจ ให้ความสำคัญ และสามารถปรับเปลี่ยนวิธีในการดูแลคนรุ่นใหม่ได้อย่างถูกต้อง จะสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับองค์กรได้อย่างมีนัยสำคัญ”

ด้าน ดร. โชดก ปัญญาวรานันท์ ผู้จัดการฝ่าย Clients & Market ดีลอยท์ ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า “ผลการสำรวจมีความน่าสนใจและสะท้อนให้เห็นถึงบุคลิกลักษณะของคนไทยที่มีความแตกต่างจากค่าเฉลี่ยโลกในในหลายแง่มุม ถ้ามองให้ละเอียดกว่านั้น จะเห็นถึงความแตกต่างกันของคนในแต่ละเจนอีกด้วย”

ทั้งนี้ ผู้บริหารจากดีลอยท์ ได้ให้คำแนะนำต่อการดูแลพนักงานกลุ่มดังกล่าวได้แก่

  • การสร้างบรรยากาศในการทำงานที่มี Work/life Balance
  • ให้โอกาสพนักงานกลุ่ม Gen Z และ Millennial ในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ
  • มอบหมายงานที่มีความหมายหรือตอบโจทย์เป้าหมายในชีวิต
  • ผู้บริหารให้ความสำคัญ หรือให้คุณค่ากับผลงาน – สิ่งที่พนักงาน Gen Z และ Millennial ทำ
  • รณรงค์ให้พื้นที่ทำงานเป็นพื้นที่ปลอดภัย และสามารถพูดคุยเรื่องความเครียด – ความกังวลได้อย่างเปิดเผย

 


แชร์ :

You may also like