“AI ไม่ได้เข้ามาแย่งงานมนุษย์ หากแต่เป็นมนุษย์ที่ใช้ AI ต่างหากที่จะแย่งงานของคุณไป” ประโยคนี้ถูกกล่าวโดย Jensen Huang ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Nvidia ซึ่งอาจเป็นบริษัทที่เนื้อหอมที่สุดในเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่นักลงทุน เมื่อ Nvidia มีการเติบโตอย่างมากในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา กับรายได้ 7,190 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่กำไรสุทธิยังพุ่งเป็น 2,040 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ด้วย
ไม่เพียงเท่านั้น Nvidia ยังเป็นบริษัทลำดับ 3 ของสหรัฐอเมริกา รองจาก Apple และ Microsoft ที่มีมูลค่าตลาด (Market Cap) ทะลุ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ แล้วเป็นที่เรียบร้อยด้วย (Apple ทำได้สำเร็จเมื่อเดือนมกราคม 2022 ตามมาด้วย Microsoft ในเดือนมกราคม 2024 และ Nvidia ในเดือนมิถุนายน 2024 โดยหุ้นของ Nvidia มีมูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 3,224% เมื่อเทียบกับช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเลยทีเดียว)
และเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา Nvidia ได้ตัดสินใจแตกหุ้นของตนเอง 10 – 1 หรือก็คือหากหุ้น Nvidia มีราคาที่ 1,200 เหรียญสหรัฐฯ ก็จะกลายเป็นหุ้น 120 เหรียญสหรัฐฯ จำนวน 10 หุ้นในมือของนักลงทุนแทนนั่นเอง ซึ่งการตัดสินใจดังกล่าวนัยว่าเพื่อให้หุ้นของ Nvidia มีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น สำหรับนักลงทุนที่อยากเป็นเจ้าของ
4 ธุรกิจ Nvidia
เมื่อหันมองธุรกิจของ Nvidia พบว่า ปัจจุบัน 4 ธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับบริษัทประกอบด้วย ธุรกิจ Data Center โดยมีรายได้ 4,280 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 14% จากปีที่แล้ว ธุรกิจเกม มีรายได้อยู่ที่ 2,240 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง 38% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แต่ก็ยังคงสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ ธุรกิจ Professional Visualization รายได้เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าอยู่ที่ 295 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และธุรกิจยานยนต์ ที่เพิ่มขึ้นถึง 114% เป็น 296 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
Nvidia ยังคาดการณ์ด้วยว่า ในไตรมาส 2 ของปี 2024 บริษัทอาจทำรายได้ที่ประมาณ 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะสูงกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 7,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมาจากการเติบโตของตลาด AI และ Data Center นั่นเอง
หรือหากย้อนมองการเติบโตในปี 2023 เพียงปีเดียว จะพบว่ามูลค่าตลาดของ Nvidia เพิ่มขึ้นถึง 2.68 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ได้แรงหนุนจากความต้องการใน AI และนวัตกรรมที่ก้าวหน้า โดยชิปรุ่นใหม่ของ Nvidia อย่าง Blackwell ที่มีราคาสูงระหว่าง 30,000 ถึง 40,000 เหรียญสหรัฐฯ ก็มีการจองซื้อจนเต็มกำลังผลิตไปจนถึงปี 2025 ส่วนหุ้นของ Nvidia ได้เพิ่มขึ้น 738% ในช่วง 17 เดือนที่ผ่านมา และถูกมองว่ายังมีราคาถูกในเชิงพื้นฐานเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรที่คาดการณ์ไว้ที่ 46.5% ต่อปีในอีกห้าปีข้างหน้าด้วย