ปีที่ผ่านมาตลาดสกินแคร์มูลค่าราว 20,000-30,000 ล้านบาท มีการเติบโตสูงถึง 15% การเติบโตส่วนหนึ่งเป็นผลมาเหล่าคนรุ่นใหม่ และวัยทำงานที่มักประสบปัญหาสิวและผิวพรรณ ทำให้มักเลือกซื้อหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์ และเห็นผลไวเป็นหลัก โดยเวชสำอางมักเป็นผลิตภัณฑ์ที่คนใหม่เลือกหยิบใช้เป็นลำดับแรกๆ เสมอ
ซึ่งปัจจุบันตลาดเวชสำอางเมืองไทย ประกอบด้วยผู้เล่นหลักราว 4-5 แบรนด์ ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์จากต่างชาติ โดยมีแบรนด์ “สมูท อี” (Smooth E) เป็นแบรนด์ไทยเพียงกี่ไม่แบรนด์ที่สามารถแข่งขันของกับยักษ์ข้ามชาติมานานกว่า 32 ปี แถมยังครองแชมป์ขายดีเบอร์ 1 ตลอดกาลในร้านขายยา ส่วนหนึ่งความสำเร็จคือการปรับตัวให้สอดคล้องกับความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าอยู่เสมอ
เช่นเดียวกับในปีนี้ “สมูท อี” (Smooth E) ได้ทำการปรับภาพลักษณ์ครั้งสำคัญในการขยายฐานลูกค้าเข้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่วัย Gen Z มากขึ้น โดยมี 5 เรื่องน่ารู้ของการ ก้าวสู่ลุค (Look) ใหม่ เพื่อให้ Smooth E เข้าไปเป็น Top of Mind ที่คนรุ่นใหม่ (Gen Z) นึกถึงมากขึ้น
1.Smooth E ก่อตั้งครั้งแรกเมื่อ 32 ปีที่ผ่านมา โดย “ภก.ดร.แสงสุข พิทยานุกุล” ด้วยอายุอานามที่ยาวนาน ทำให้กลุ่มลูกค้าของ Smooth E ส่วนใหญ่จะเป็นคน Gen X และ Y สูงถึง 90% ซึ่งอายุจะอยู่ระหว่าง 28-57 ปี ทำให้ทางแบรนด์ต้องการขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ที่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงและมักกังวลปัญหาผิวพรรณ โดยเฉพาะเรื่องสิวมาเป็นอันดับแรก
“ที่ผ่านมาคนรุ่นใหม่จะรู้จัก Smooth E ผ่านพ่อแม่ผู้ปกครองซื้อที่ให้ใช้ ขณะเดียวกัน Gen Z หลายคนก็มองว่าแบรนด์มีราคาสูงในบางตัว ดังนั้นแนวคิดการปรับภาพลักษณ์ในครั้งนี้จึงเป็นการนำ Pain Point ทั้งสองอย่างมารวมกันเพื่อสร้างการเข้าถึงของ Gen Z มากขึ้น” คุณธนชัย ชัยกิตติวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สมูทอี บริษัท สยามเฮลท์ กรุ๊ป จำกัด กล่าว
2. กลยุทธ์ในครั้งนี้จึงเป็นการดึงอินไซต์ของคนรุ่นใหม่วัย Gen Z มาใช้ใน การปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย ในกลุ่มผลิตภัณฑ์รักษาสิว (Smooth E Acne) โดยปรับแพ็คเกจจิ้งจะมีการระบุส่วนผสมที่ชุดเจนเห็นได้ชัด และการปรับโลโก้ สีให้มีความสดใสชัดเจนขึ้น ควบคู่กับการแค่พัฒนานวัตกรรมต่างๆ ที่ไม่ใช่แค่ความอ่อนโยน หากแต่คือการพัฒนาเนื่องของ Innovation ความเป็นเวชสำอางในราคาที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้บริโภคถึงสำอางจะต้องนึกถึงสมูทอีเป็นอันดับ 1
นอกจากนี้ยังมีการรีลอนช์กลุ่มผลิตภัณฑ์โฟมล้างหน้าและครีมบำรุง รูปโฉมบรรจุภัณฑ์ใหม่ อาทิ Smooth E Cream ครีมลดรอยแผลเป็น ขณะที่กลุ่ม Anti-Aging หรือ เวชศาสตร์ชะลอวัย มีการพัฒนานวัตกรรมส่วนผสมของ PEPTIDE (เปปไทด์) โดยมีเป้าหมายเพื่อเจาะลูกค้าในกลุ่ม Gen Z เช่นเดียวกัน
“จากการศึกษาพฤติกรรม GEN Z ที่โฟกัสการเห็นผลที่เร็ว มีประสิทธิภาพในการดูแลผิวอย่างอ่อนโยน เพื่อทำให้ผิวมีสุขภาพดีในระยะยาว สมูทอี จึงนำอินไซต์ดังกล่าวมาพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ Gen Z มากขึ้น โดยยังคงจุดแข็งการเป็นเวชสำอาง หรือ Medical Skincare มีความน่าเชื่อถือ ในราคาจับต้องได้”
3. โดยปีนี้ Smooth E เพิ่มงบการตลาดมากถึง 200 ล้านบาท เพื่อใช้ในการสื่อสารแบรนด์ไปยังคนวัย Gen Z มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการ สื่อสารแบรนด์ หรือ Communication ที่เป็นเอกลักษณ์ผ่าน DNA เดิม หรือพูดจาให้กระชับผ่านจุดเด่นใหม่ๆ และนำ DIgital เข้ามาเสริมการสื่อสารแบรนด์ไปยังคนรุ่นใหม่ หรือ Gen Z ทั้งคอนเทนต์ให้ความรู้เรื่องการดูแลผิวจากผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่มีคาแรกเตอร์แอ็กทิฟ เข้าถึงง่ายสะท้อนภาพคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะการโปรโมทในช่องทาง Tiktok ซึ่งส่งผลให้ยอดขายโตต่อเนื่อง พร้อมใช้ “ใบปอ-ธิติยา จิระพรศิลป์” เป็นพรีเซนเตอร์
นอกจากนี้ ยังส่ง “Smooth E Mobile Clinic” ซึ่งเป็นการนำผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังลงพื้นที่ตรวจสุขภาพผิว สร้างการรับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ ควบคู่กับการสร้างประสบการณ์จริง เชิงบวก โดยจะจัดคาราวานโรดโชว์อีกกว่า 100 จุดเน้นไปที่โรงเรียนและมหาวิทยาลัย (จากเดิมที่อยูในย่านอาคารสำนักงาน) ทั้งในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล และจังหวัดหัวเมืองใหญ่ อาทิ เชียงใหม่ ขอนแก่น ชลบุรี สงขลา ฯลฯ
4. ส่วนเหตุผลหลักของการเลือกเจาะกลุ่ม Gen Z เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเหล่านี้กล้าทำหัตถการ เพื่อความสวยงามมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ฉีดหน้า จมูก ฯลฯ เพื่อให้ตัวเองดูดีขึ้น ขณะเดียวกัน 4 ใน 10 ของลูกค้ากลุ่มนี้มักจะมีปัญหาผิวบอบบาง ขณะเดียวกันพฤติกรรมการใช้สกินแคร์ของคนรุ่นใหม่ก็เปลี่ยนแปลงไป มักจะมองหาสกินแคร์ที่มีประสิทธิภาพ เห็นผลเร็วก่อนจะตัดสินใจซื้อเสมอ ต่างจากในอดีตที่เน้นใช้สกินแคร์แค่เรื่องความอ่อนโยนมาเป็นอันดับแรก
5.หลังการปรับภาพลักษณ์ Smooth E ครั้งนี้ จะทำให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้า Gen Z เพิ่มขึ้น 30% จากปัจจุบันที่มีอยู่ 10% โดยสิ้นปีนี้จะต้องเติบโตเพิ่มขึ้น 15% หรือมีรายได้ 1,000 ล้านบาท ปัจจุบันทำตลาดต่างประเทศราว 10 ประเทศ เกาหลี ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นต้น และอีก 5-10 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าให้แบรนด์ “Smooth E” เป็นแบรนด์แรกที่ผู้บริโภคจะนึกถึง หรือกลายเป็น Iconic ด้าน Derma Skincare พร้อมมีรายได้ 2,000 ล้านบาท
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE