เรียกได้ว่าเป็นการจับมือเพื่อตอบโจทย์วิสัยทัศน์ Digital for Thais ของเอไอเอสครั้งใหญ่ ดึงผู้ให้บริการคลาวด์ระดับโลก “ออราเคิล” (Oracle) เป็นพาร์ทเนอร์ในบริการ AIS Cloud ระดับ Hyperscale Cloud ครั้งแรกในภูมิภาค หวังตอบโจทย์ผู้ใช้งานระดับองค์กร ทั้งภาครัฐ และภาคเอกชน ตลอดจนบริษัทข้ามชาติที่มีความต้องการใช้งานคลาวด์เพิ่มสูง คาดพร้อมให้บริการต้นปี 2568
ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่า ความต้องการใช้งานดิจิทัล โดยเฉพาะ “คลาวด์” ที่ขยายวงกว้างอย่างมากในภาคเอกชน และหน่วยงานภาครัฐหลังการระบาดของ Covid เป็นตัวขับเคลื่อนให้เกิดการจับมือดังกล่าว เห็นได้จากข้อมูลของการศึกษาของ GlobalData ICT Market Forecast Thailand ที่พบว่า การใช้งานคลาวด์มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นถึง 23% ต่อปี
เพื่อรองรับการเติบโตของบริการคลาวด์ การเตรียมความพร้อมของเอไอเอสจึงเป็นสิ่งที่น่าจับตา เพราะเป็นการจับมือกับผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ระดับโลกอย่าง Oracle Alloy มาสู่บริการ AIS Cloud ในระดับ Hyperscale Cloud ครั้งแรกในภูมิภาค ซึ่งจะทำให้องค์กรทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และผู้ประกอบการทั้งในประเทศและบริษัทข้ามชาติ สามารถเข้าถึงบริการคลาวด์ของ Oracle (OCI) ที่มีมากกว่า 100 บริการ รวมถึงความสามารถด้าน AI ได้โดยตรง
คุณสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร AIS กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า เป็นอีกหนึ่งด้านของ Digital for Thais กับการตอบโจทย์ความต้องการของภาคธุรกิจที่เอไอเอสพบว่า คลาวด์คือหนึ่งใน 4 ของหัวใจสำคัญของการให้บริการในอนาคต (นอกจากคลาวด์แล้วยังประกอบด้วย IoT, Data Center และ AI) พร้อมระบุว่า ความร่วมมือดังกล่าวสามารถตอบโจทย์ความต้องการในการทำดิจิทัลทรานสฟอร์เมชันของกลุ่มเอนเทอร์ไพรส์ได้มีประสิทธิภาพมากกว่า เนื่องจากมาพร้อมระบบ Sovereign Cloud ที่มีความปลอดภัย และมีการปกป้องข้อมูลตามข้อกำหนดด้านการจัดเก็บข้อมูลของประเทศไทย รวมถึงความพร้อมในการทำระบบสำรองและกู้คืนข้อมูล (DR: Disaster Recovery) ในกรณีที่ระบบหลักเกิดความเสียหาย เพื่อให้ใช้ข้อมูลที่สำรองไว้มาทำงานต่อได้ทันทีด้วยนั่นเอง
ด้านคุณการ์เร็ตต์ อิลจ์ รองประธานบริหารและผู้จัดการทั่วไปของออราเคิล ประจำภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกและญี่ปุ่น กล่าวถึงความร่วมมือครั้งนี้ว่า ออราเคิลเข้ามาทำธุรกิจในไทยมากกว่า 30 ปีและต้องการสนับสนุนธุรกิจไทยให้สามารถคว้าโอกาสด้านดิจิทัลให้ได้ ซึ่งความสำเร็จของลูกค้าคือผลลัพธ์ของความพยายามนั้น ออราเคิลจึงมองว่า การจับมือกับเอไอเอสครั้งนี้เป็นอีกหนึ่งแนวทางในการสร้างการเติบโตให้กับลูกค้าไปด้วยกัน
“ความคิดสร้างสรรค์และการใช้เทคโนโลยีของภาคธุรกิจ หรือหน่วยงานภาครัฐควรจะอยู่บนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ที่มีความพร้อม และเป็นมาตรฐานระดับโลก ซึ่งออราเคิลมีทั้งหมดที่กล่าวมา แต่ความพิเศษของการจับมือกับเอไอเอสครั้งนี้คือ มีการปรับให้เข้ากับตัวบทกฎหมาย ตลอดจนข้อบังคับต่าง ๆ ของประเทศไทย เช่น การเก็บข้อมูลทั้งหมดที่จะอยู่ในประเทศไทย ความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูล และระบบการกู้คืนที่ทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
“ดิจิทัล” เครื่องมือช่วยไทยแข่งขันกับยักษ์ใหญ่
เมื่อถามถึงการจับมือกับออราเคิลเพื่อให้บริการ Hyperscale Cloud ครั้งนี้ว่า สิ่งที่ประเทศไทยจะได้รับคืออะไร คุณสมชัยกล่าวว่า สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนนั่นคือ การเดินหน้าเศรษฐกิจดิจิทัลให้กับประเทศ การเพิ่มทักษะให้กับบุคลากรดิจิทัลของไทย และการให้ความสำคัญกับ Data Residency
“จับมือกับเขาเราได้อะไร ต้องบอกว่านอกจากโครงสร้างพื้นฐานด้านอินเทอร์เน็ตแล้ว ไทยต้องมีบริการคลาวด์ที่แข็งแกร่ง เพราะแอปพลิเคชันต่าง ๆ ต้องทำงานอยู่บนคลาวด์ ซึ่งการมีคลาวด์ระดับ Hyperscale จะทำให้แอปเหล่านั้นทรงพลัง และเกิดขึ้นได้จริง สองคือเพิ่มทักษะ-บุคลากรดิจิทัล เพราะมันไม่ใช่แค่การลงทุนฮาร์ดแวร์ แต่ยังมีเรื่องของการพัฒนาคน เราคุยกับออราเคิล เขาจะนำองค์ความรู้ต่าง ๆ มาถ่ายทอดให้กับคนของเรา ทั้งในระดับองค์กรและสถาบันการศึกษา”
“ข้อสุดท้ายคือการที่ออราเคิลมาตั้งในเมืองไทย เราจะเกิด Data Residency หรือก็คือข้อมูลท้ังหมดจะอยู่ในเมืองไทยภายใต้บริการที่เป็นมาตรฐานระดับโลก โดยเฉพาะบริการข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ระบบสาธารณสุข ที่เข้มงวดเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลจะไม่ต้องกังวลอีกต่อไป และไม่ใช่แค่ข้อมูลอยู่ในเมืองไทย แต่ยังถูกกฎ กติกาของไทยอีกด้วย” คุณสมชัยกล่าวพร้อมปิดท้ายด้วยว่า
“ผมเคยพูดตลอดเวลาว่า ไทยเราเป็นประเทศเล็ก ๆ เราไม่มีทางแข่งขันกับประเทศใหญ่ ๆ ได้เลย ถ้าไม่มีดิจิทัลเข้ามา แต่ถ้ามีดิจิทัล ก็อยู่ที่มือของเราแล้ว ในฐานะที่เอไอเอสเป็นองค์กรหนึ่งในไทย เราก็อยากทำให้ฝันนั้นเป็นจริง และนี่คือที่มาของการร่วมมือกับออราเคิลในการทำ Hyperscale cloud ที่มาตั้งอยู่ในไทยเป็นครั้งแรกครับ”