HomePR News“เทรนด์การลงทุนทั่วโลก” ที่ต้องจับตามอง หลังศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กมลา แฮร์ริส – โดนัลด์ ทรัมป์

“เทรนด์การลงทุนทั่วโลก” ที่ต้องจับตามอง หลังศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ กมลา แฮร์ริส – โดนัลด์ ทรัมป์

The Wisdom KBank : ลงทุนอะไรดี​ ? เทรนด์ที่ต้องจับตามอง หลังศึกเลือกตั้งสหรัฐฯ กมลา แฮร์ริส - โดนัลด์ ทรัมป์

แชร์ :

เดอะวิสดอมกสิกรไทย จัดสัมมนา “THE WISDOM  Wealth Decoded การเลือกตั้งทั่วโลกปี 2024 จับตาการลงทุนและความท้าทายที่รออยู่” โดยนายบุรินทร์ อดุลวัฒนะ กรรมการผู้จัดการ และ Chief Economist บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด จับตาการเลือกตั้งของประเทศผู้นำทางเศรษฐกิจทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา รวมทั้งจับตานโยบายด้านเศรษฐกิจการค้า เตรียมรับแรงกระเพื่อมทั่วโลก การปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด แนะลงทุนหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ ได้แก่ สังคมสูงวัย เทคโนโลยีเอไอ ยา และท่องเที่ยว

จับตาการเมืองในอังกฤษและฝรั่งเศส จุดพลิกนโยบายเศรษฐกิจและต่างประเทศ
ายบุรินทร์ กล่าวว่า การเลือกตั้งในเวทีโลกทั้งสองประเทศฝรั่งเศสและอังกฤษ ทำให้เกิดเปลี่ยนแปลงขั้ว ทั้งในเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ นโยบายต่างประเทศ นโยบายทางการคลังมีทิศทางเพิ่มรายจ่ายภาครัฐเพื่อสนับสนุนค่าครองชีพของครัวเรือน
สำหรับอังกฤษ การชนะแบบแลนด์สไลด์ของพรรคแรงงาน (Labour Party) ภายใต้การนำของ เซอร์ เคียร์ สตาร์เมอร์ (Keir Starmer) เป็นการเปลี่ยนขั้วการเมืองจากพรรคอนุรักษ์นิยม (Conservative) ไปสู่จุดยืนทางการเมืองของพรรคแรงงานที่ไปทาง “ซ้ายกลาง” และไม่สนับสนุนแผนปรับลดรายจ่ายภาครัฐที่รัฐบาลเดิมเสนอไว้ โดยพรรคแรงงานมุ่งเน้นเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณสุข การแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยที่ไม่เพียงพอและมีราคาแพง เป็นต้น
ขณะที่ฝรั่งเศส กำลังเผชิญกับปัญหาความไม่แน่นอนทางการเมือง เนื่องจากผลการเลือกตั้งรอบสองปรากฏว่า “นิว   ป๊อปปูลาร์ ฟรอนต์” (New Popular Front : NPF) กลุ่มพันธมิตรแนวร่วมฝ่ายซ้ายชนะมาเป็นอันดับ 1 ขณะที่พันธมิตรแนวร่วมสายกลางของ “เอ็มมานูเอล มาครง” (Emmanuel Macron) มาเป็นอันดับ 2 ทำให้ขณะนี้ยังไม่มีพรรคการเมืองหรือกลุ่มแนวร่วมใดที่ชนะเด็ดขาด และมีคะแนนเสียงมากพอที่จะครองเสียงข้างมากในสภา ทั้งนี้ หนึ่งในแผนสำคัญที่ NPF ฝ่ายซ้ายได้ประกาศไว้ คือ การยกเลิกการปฏิรูประบบเงินบำนาญของมาครง ซึ่งมีนโยบายขยายอายุเกษียณ จาก 62 ปี เป็น 64 ปี และปรับเพิ่มเงินบำนาญเกษียณอายุขั้นต่ำสำหรับผู้ทำงานครบกำหนด  ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางการเมือง ฝรั่งเศสยังเผชิญกับปัญหาหนี้สินอยู่ในระดับสูง การขาดดุลงบประมาณ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการกำหนดนโยบายการเงินและการคลัง
จับตานโยบายคู่ชิงประธานาธิบดีสหรัฐฯ กระทบการค้าการลงทุนทั่วโลก
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในช่วงพฤศจิกายนของปีนี้ เป็นประเด็นที่ทั่วโลกต่างจับตาว่า ใครจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ ระหว่างกมลา แฮร์ริส กับ โดนัลด์ ทรัมป์
นายบุรินทร์ กล่าวว่า ทรัมป์ให้ความสำคัญกับนโยบายทางเศรษฐกิจ ผู้อพยพชายแดนเม็กซิโก และลดการสนับสนุนความมั่นคงของประเทศพันธมิตร หากทรัมป์ชนะ จะทำให้สงครามการกีดกันการค้าเพิ่มขึ้น เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น จากนโยบายขึ้นภาษีนำเข้าสินค้ากับทุกประเทศ 10% โดยเฉพาะจีน ที่จะถูกเก็บภาษีนำเข้า 60% ซึ่งจะทำให้ค่าเงินหยวนอ่อน รวมถึงค่าเงินบาทไทย ในขณะที่แฮร์ริส เน้นด้านสาธารณสุข และสนับสนุนเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อม

ข้อมูลจาก The Economist Intelligence Unit (EIU) ประเมินว่า หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ประเทศคู่ค้า 5 อันดับแรกของสหรัฐฯ ที่จะได้รับผลกระทบ เนื่องจากเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ ได้แก่ เม็กซิโก จีน แคนาดา เวียดนาม และเยอรมนี โดยประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 11 คาดการณ์ว่า หากทรัมป์ขึ้นกำแพงภาษี อาจส่งผลกระทบกับ GDP ของไทยประมาณ -0.3 ใน 2 ปีข้างหน้า

Screenshot

แรงกระทบดอกเบี้ยเฟด เกิด Carry Trade กดดันค่าเงินหลายสกุลทั่วโลก
การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ The Federal Reserve (FED) แรงที่สุดในรอบ 23 ปี “หลายประเทศได้รับผลกระทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดและธนาคารกลางทั่วโลก โดยเฉพาะสกุลที่ดอกเบี้ยต่ำหรือสกุลที่ลดดอกเบี้ย เช่น เงินหยวน เงินเยน ก็เป็นเงินที่มีประเด็นของการอ่อนค่าลง ทำให้เกิดช่องว่างอัตราดอกเบี้ยที่เรียกว่า “Carry Trade” หรือการเทรดโดยการกู้ยืมเงินในแหล่งเงินกู้ที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อที่จะไปลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงกว่า โดยหวังทำกำไรจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะเงินเยน
เนื่องจากดอกเบี้ยญี่ปุ่นต่ำมากมาเป็นเวลาหลายปี ทำให้นักลงทุนนิยมกู้ยืมเงินไปลงทุนสินทรัพย์อื่นๆ เช่น การใช้เงินเยนไปซื้อเงินดอลลาร์ที่ให้ดอกเบี้ย 5% สกุลเงินเปโซของเม็กซิโก ที่ได้ดอกเบี้ย 10%  หากเกิดการทำ Carry Trade ปริมาณมากอาจกดดันให้เยนอ่อนค่า สวนทางดอลลาร์แข็ง กระทบบาทไทยและอีกหลายสกุลทั่วโลก
แนะลงทุนกลุ่มหุ้นที่อิงเมกะเทรนด์ เติมพอร์ตให้แกร่งระยะยาว
  1. สังคมสูงวัย (Silver Economy) จำนวนผู้สูงอายุในแต่ละทวีปเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ในขณะที่อัตราการเกิดน้อยลง ทำให้ธุรกิจเฮลท์แคร์ เป็นธุรกิจแห่งอนาคต
  2. เทคโนโลยี AI ปัจจุบันการลงทุนใน AI คิดเป็น 3% ของการลงทุนด้านเทคโนโลยีทั้งหมด คาดการณ์ว่า ภายในปี 2032 จะเพิ่มเป็น 11% แนะนำลงทุนในกลุ่มธุรกิจต้นน้ำ เช่น เซมิคอนดัคเตอร์
  3. ธุรกิจยา การพัฒนายารักษามะเร็ง ยารักษาโรคอ้วน และลดความอ้วน ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เป็นปัจจัยหนุนทำให้การลงทุนนี้ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  4. ธุรกิจท่องเที่ยว คนทั่วโลกเดินทางท่องเที่ยวเยอะขึ้น แต่มีการจับจ่ายใช้สอยน้อยลง หันมาเน้นท่องเที่ยวแบบซื้อประสบการณ์แทน ไม่ซื้อของ ส่งผลให้การใช้จ่ายของจำนวนหัวของนักท่องเที่ยวลดลง แต่ในทางกลับกันกลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องบิน เครื่องจักร กลับได้ประโยชน์ตรงนี้มากขึ้น

แชร์ :

You may also like