HomeInsight“Lipstick Effect” ปรากฏการณ์ สะท้อนกำลังซื้อ Gen Z ผ่านสินค้า Luxury ที่ทำให้ตลาดความงามเติบโตสูงสุดทั่วโลก

“Lipstick Effect” ปรากฏการณ์ สะท้อนกำลังซื้อ Gen Z ผ่านสินค้า Luxury ที่ทำให้ตลาดความงามเติบโตสูงสุดทั่วโลก

แชร์ :

ท่ามกลางความผันผวนของ “ตลาดสินค้าหรู” หรือสินค้าในกลุ่ม Luxury ทั่วโลกหลังต้องเผชิญกับปัจจัยลบรอบด้าน ส่งผลให้หลายฝ่ายต่างจับตามองสถานการณ์ของตลาด Luxury Retail เนื่องจากเป็นตลาดที่มีการจับจ่ายสูงเป็นลำดับต้นๆ

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ล่าสุด The 1 Insight เผยผลวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้จ่ายกลุ่มสินค้า Luxury ในช่วงครึ่งปีแรก 2024 แม้ในสภาพเศรษฐกิจผันผวน ภาพรวมกำลังซื้อตลาด Luxury Retail ยังเติบโตสูง 4 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนโควิด ซึ่งสินค้าบิวตี้เติบโตแรงกว่าสินค้าแฟชั่น  โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งถือเป็นจังหวะสำคัญของแบรนด์ Luxury ในการขยายฐานลูกค้า Gen Z ที่สนใจสินค้าลักชัวรี่มากขึ้น

และคาดการณ์ว่ายอดใช้จ่ายจะเติบโตต่อเนื่อง 10% ทุกปี ในขณะที่ผู้บริโภคช่วงวัยอื่นๆ ยังคงมีการใช้จ่ายสูง แต่การเติบโตเริ่มคงที่ เผย Gen Z และ Gen Y จะกลายเป็นกำลังซื้อหลักของกลุ่มสินค้า Luxury ทั่วโลกภายในปี 2025

สำหรับภาพรวมการใช้จ่ายกลุ่มสินค้า Luxury จาก The 1 Insight ล่าสุด พบว่าการใช้จ่ายสินค้าบิวตี้มีการเติบโตสูงกว่าสินค้าแฟชั่น 10% ซึ่งตรงกับทฤษฎี “Lipstick Effect” ที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกในช่วงที่กำลังซื้อภาพรวมลดลง ทว่ายอดการใช้จ่ายสินค้าบิวตี้กลับเติบโตสวนทาง เนื่องจากเป็นสินค้าที่ชุบชูจิตใจได้ไม่แพ้สินค้าแฟชั่นแบรนด์หรู แต่มาในงบประมาณที่เข้าถึงได้สำหรับคนส่วนใหญ่

สำหรับสินค้าที่ยอดขายเติบโตสูงสุดในหมวดบิวตี้ ได้แก่ ลิปสติก พาเลตต์แต่งหน้า น้ำหอม ส่วนในหมวดแฟชั่น สินค้าที่มียอดขายเติบโตสูงสุด ได้แก่ กระเป๋าถือ แอ็กเซสเซอรี่ รองเท้า โดยแต่ละช่วงวัยมีการใช้จ่ายกับสินค้าแต่ละประเภทในสัดส่วนที่ต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่

  • กลุ่ม Gen Z ใช้จ่ายกับเครื่องสำอาง น้ำหอม และสกินแคร์
  • Gen Y ใช้จ่ายกับสินค้าแฟชั่น สกินแคร์ และน้ำหอม
  • Gen X ใช้จ่ายกับสกินแคร์และสินค้าแฟชั่น เมกอัพ และน้ำหอม
  • Baby Boomers ใช้จ่ายกับสกินแคร์ สินค้าแฟชั่น และเมกอัพสูง

อีกจุดที่น่าสนใจที่กลุ่ม Gen Z มีการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้า Luxury เติบโตสูงสุดจากทุกช่วงวัย เป็นผลให้แบรนด์ระดับโลกที่เล็งเห็นโอกาสเริ่มดำเนินกลยุทธ์ในการดึงดูดกลุ่ม Gen Z มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วง 2-3 ปีให้หลังนี้ อาทิเช่น การใช้ดาราและอินฟลูเอนเซอร์ที่กลุ่ม Gen Z ติดตาม รวมถึง Storytelling ของแบรนด์ต่างๆ ที่เน้นการแสดงตัวตนที่ authentic และมุมมองต่อ sustainability ซึ่งเป็นเรื่องหลักที่กลุ่มช่วงวัยดังกล่าวให้ความสำคัญ 

แน่นอนว่าแบรนด์ยังไม่สามารถทิ้งกลุ่มลูกค้าอื่นๆ ได้เช่นกัน เนื่องจากกำลังซื้อส่วนใหญ่ยังอยู่ที่ Gen Y, Gen X และ Baby Boomer ตามลำดับ โดยทั้ง 3 ช่วงวัยนั้นยังถือว่าเป็นลูกค้ากลุ่มสำคัญของแบรนด์ นอกจากจะมีสัดส่วนการใช้จ่ายสูงแล้ว ในกลุ่ม Gen Y ยังพบว่าคนกลุ่มนี้มี Brand Loyalty สูงกว่ากลุ่ม Gen Z ที่เปิดกว้างและพร้อมเปลี่ยนแบรนด์ที่ชื่นชอบตลอดเวลา

ในส่วนของช่องทางการใช้จ่าย นอกจากช่องทางออนไลน์ที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น E-Commerce หรือ Social Commerce ช่องทางหน้าร้านก็ยังคงมีความสำคัญอย่างมาก ไม่เพียงในกลุ่ม Gen X และ Baby Boomer ที่นิยมการใช้จ่ายที่หน้าร้านมากกว่าเท่านั้น 

โดยผลสำรวจจาก CRC VoiceShare ในเดือน พฤษภาคม-มิถุนายน 2567 เผยว่า 50% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ซื้อสินค้าในหมวดแฟชั่นและบิวตี้อย่างน้อย 1 รายการในช่วงเวลา 1 เดือน และนักช้อปสายลักชัวรี่ส่วนใหญ่ยังคงนิยมใช้จ่ายที่หน้าร้าน เนื่องจากสามารถมอบ Customer Experience ที่สะดวกสบายและมอบความรู้สึกพิเศษให้ได้มากกว่า

ติดตามพวกเราได้ที่ LINE


แชร์ :

You may also like