“ความฝัน” และ “ความสำเร็จ” เป็นคำสองคำที่อยู่คู่กับคนดนตรีอย่างแยกไม่ออก เพราะหากไม่มีความฝัน และความสำเร็จ การเป็นนักร้องนักดนตรีมืออาชีพคงไร้จุดหมาย ซึ่งทุกคนมีความฝันที่จะเป็นนักร้องนักดนตรีได้ แต่การจะก้าวสู่นักดนตรีมืออาชีพที่ประสบความสำเร็จได้นั้น นอกจากความมุ่งมั่นและทุ่มเทแล้ว “พื้นที่แสดงพลังทางดนตรี” ก็เป็นอีกปัจจัยที่มีผลไม่น้อย เพราะเป็นเหมือนสปริงบอร์ดที่นำไปสู่การเป็นมืออาชีพในวงการเพลงต่อไป
ในแต่ละปีเราจึงเห็นเวทีประกวดวงดนตรีและร้องเพลงจัดขึ้นจำนวนไม่น้อย เพื่อให้คนดนตรีได้ปล่อยของ หนึ่งในนั้นคือ THE POWER BAND ซึ่งเป็นการประกวดวงดนตรีสากลคุณภาพระดับประเทศของ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ ที่ไม่เพียงให้คนมีฝันได้แสดงความสามารถทางดนตรีแบบไร้ขีดจำกัด แต่ยังสร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้กับอุตสาหกรรมเพลงไทยตั้งแต่วันแรกถึงปัจจุบัน ซึ่งจัดมาแล้ว 3 ซีซัน และปีนี้เพิ่งประกาศผลการแข่งขัน THE POWER BAND 2024 SEASON 4 ไปหมาดๆ Brand Buffet ชวนไปฟังเส้นทางการสร้างเวทีประกวดแบบ THE POWER BAND พร้อมพลังที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ 2 วงดนตรี จากเชียงใหม่ และ กรุงเทพฯ ที่เพิ่งคว้าแชมป์ล่าสุด
เวทีที่มากกว่าการแข่งขันวงดนตรี
เมื่อพูดถึงเวทีประกวดดนตรีและร้องเพลง อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในเมืองไทย ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นการจัดแข่งขัน แต่ด้วยความเชื่อว่าคนไทยมีศักยภาพด้านดนตรีไม่แพ้ชาติใด ผนวกกับต้องการเปิดโอกาสให้คนไทยได้มีพื้นที่ในการแสดงความสามารถทางดนตรีอย่างสร้างสรรค์ เพราะเชื่อว่า “โอกาส” เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คนรักในเสียงดนตรีเกิดการพัฒนาตัวเองมากขึ้น จนก้าวไปถึงสิ่งที่ฝันได้สำเร็จ จึงเป็นแรงบันดาลใจให้ “คิง เพาเวอร์” คิดว่าต้องลองทำอะไรสักตั้ง
ในปี 2560 เวทีประกวดวงดุริยางค์เครื่องเป่านานาชาติแห่งประเทศไทย (TIWSC) จึงเกิดขึ้น และต่อมาอีก 4 ปี ได้ปรับมาเป็น THE POWER BAND ซึ่งรูปแบบไม่เหมือนกับเวทีประกวดวงดนตรีที่อื่น เนื่องจากจากผู้เข้าแข่งขันต้องแต่งเพลงเองตาม โจทย์การแข่งขัน ที่เปลี่ยนไปทุกปี เพื่อให้น้องๆ ได้ฝึกการสร้างสรรค์ดนตรีมาโชว์พลัง ทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีมาช่วยวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งให้กับผู้เข้าประกวดแบบจุดต่อจุด พร้อมด้วยกิจกรรมค่ายดนตรี หรือ THE POWER BAND MUSIC CAMP ที่จะช่วยให้น้องๆ ได้เรียนรู้ทักษะด้านดนตรีในแต่ละด้านจากมิวสิคกูรูตัวจริง
“เวทีนี้ไม่ได้เป็นการแข่งขันวงดนตรีเพื่อให้ทุกคนอยากเอาชนะกัน เราจัดการแข่งขันเพราะอยากจะสร้างทุกความฝันให้เป็นจริง รวมถึงอยากจะสร้างบุคลากรที่มีคุณภาพและมาตรฐานที่ดีให้กับประเทศ เพื่อให้พวกเขาสามารถแข่งขันได้ในระดับสากลได้” ดร.ณรงค์ ปรางค์เจริญ คณบดีวิทยาลัยดุริยางศิลป์ ม.มหิดล ย้ำถึงความ Unique ของ THE POWER BAND และเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ THE POWER BAND ได้รับเสียงตอบรับที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง
ปั้นฝันคนดนตรีรุ่นใหม่เฉิดฉายสู่ศิลปินมืออาชีพ
โดยตลอด 4 ปีที่ผ่านมา นอกจากเหล่าคนดนตรีรุ่นใหม่จะเข้ามาแสดงพลังดนตรีเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมีวงดนตรีกว่า 800 วง รวมนักดนตรีกว่า 5,500 คนมาร่วมแข่งขันแล้ว คุณอภิเชษฐ์ ศรีวัฒนประภา ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ด้านปฏิบัติการ กลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ บอกว่า ยังได้เห็นความมุ่งมั่นของน้องๆ และพัฒนาการของทุกคนขึ้นเรื่อยๆ จนมีวงดนตรีที่เข้าตาค่ายเพลงแล้วถูกดึงตัวไปปั้นเป็นศิลปินหน้าใหม่โลดแล่นในวงการ อย่างวง Kryptonyte ที่เพิ่งเปิดตัวไป บริษัทจึงหวังจะได้เห็นดาวดวงใหม่เกิดขึ้นจากเวทีนี้อย่างต่อเนื่อง และสามารถก้าวไปสู่ระดับโลกได้ เพราะไม่มีอะไรยากเกินความสามารถของทุกคน แค่ทุกคนมีความพยายาม และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ ความสำเร็จก็จะมาถึงทุกคนได้แน่นอน
สำหรับการแข่งขันในปีนี้ เป็นปีที่มีความเข้มข้นขึ้นกว่าเดิม ทั้งโจทย์การแข่งขัน และนักดนตรีที่มีฝีมือมากกว่าเดิม ซึ่งทุกวงปล่อยของในแบบตัวเองกันแบบไม่ออมมือ โดยมีวงดนตรี 29 วงผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ แบ่งเป็นรุ่นมัธยมศึกษา 15 วง และรุ่นบุคคลทั่วไป 14 วง โดย “วง DS.RU.BAND” โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ฝ่ายมัธยม) กรุงเทพฯ ได้โชว์พลังเสียง และลีลาการเล่นดนตรีได้สุดประทับใจ จนคว้าแชมป์สุดยอดวงดนตรีระดับมัธยมฯ ส่วนวงที่สามารถคว้าแชมป์รุ่นบุคคลทั่วไป เส้นทางสู่ศิลปินมืออาชีพ ได้แก่ “วง Boy in love” กรุงเทพฯ โดยทั้ง 2 วง ได้รับถ้วยรางวัลเกียรติยศ และเงินรางวัล 150,000 บาท พร้อมร่วมทำซิงเกิลเพลง และมิวสิกวิดีโอกับค่ายเพลงภายใต้การดูแลของ บริษัท มิวซิกมูฟ จำกัด และโอกาสในการร่วมแสดงในเทศกาลดนตรีระดับประเทศ
“กล้าลอง” และ “ขยันฝึกซ้อม” เคล็ดลับ 2 วงดนตรี สานทุกฝันให้เป็นไปได้
THE POWER BAND จึงเป็นเวทีที่จุดประกายความฝันให้กับคนดนตรีและเปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้โชว์ความสามารถอย่างสุดพลัง เช่นเดียวกับวง DS.RU.BAND และวง Boy in love ที่กล้าออกมาลองทำตามความฝันจนสามารถคว้าชัยชนะบนเวที THE POWER BAND 2024 ได้สำเร็จ โดยตัวแทนจากวง Boy in love กรุงเทพฯ บอกว่า วงเริ่มฟอร์มทีมกันประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนจะปิดรับสมัคร และเป็นการรวมตัวกันเฉพาะกิจเพื่อประกวดในเวทีนี้เป็นครั้งแรก เพราะก่อนหน้านี้ได้เห็นเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ลงแข่งขันทุกซีซั่น เลยรู้สึกว่าเวทีนี้เป็นเวทีที่ทำให้คนดนตรีได้มาโชว์ความสามารถอย่างเต็มที่ เลยเป็นแรงบันดาลให้พวกเขาอยากเข้ามาแข่งขันในเวทีนี้ พร้อมกับตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมาคว้าแชมป์ให้ได้
แม้จะมีเวลาในการฝึกซ้อมไม่มาก อีกทั้งแต่ละคนมีงานที่ต้องทำ เวลาจึงไม่ตรงกัน แต่หลังเลิกงานก็ฝึกซ้อมอย่างจริงจังเกือบเช้าทุกวัน ประกอบกับทำทุกผลงานออกมาด้วยความรักและความสนุกจริงๆ จึงมองว่าน่าจะเป็นจุดเด่นที่ทำให้วงมัดใจคณะคณะกรรมการ จนประสบความสำเร็จอย่างที่ตั้งใจ ซึ่งพวกเขารู้สึกประทับใจและคุ้มค่ามากกับสิ่งที่ต้องฝ่าฟันมา จึงอยากให้น้องๆ เข้ามาแข่งขันเวทีนี้กันเยอะๆ และอย่ากลัว ให้ลองลงมือก่อน เพราะจะเป็นโอกาสให้เราก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางดนตรี
ขณะที่ตัวแทนจากวง DS.RU.BAND บอกว่า วงใช้เวลาในการฟอร์มทีมกันนานมากตั้งแต่ต้นปี และเพิ่งเคยประกวดเวทีนี้เป็นครั้งแรก ซึ่งความยากที่สุดคือ ความกลัวของตัวเราเอง บางทีกลัวจะทำได้ไม่ดี หรือกลัวทำออกมาแล้วผิดพลาด รวมถึงเวลาในการรวมตัวกัน วิธีแก้ไขของพวกเราคือ การละลายพฤติกรรมเวลาซ้อมผ่านการคุยเล่นกันมากขึ้น เพื่อให้เวลาเล่นดนตรีจะได้ซิงค์กัน รวมทั้งต้องฟังเพลงให้มาก และฝึกซ้อมให้เยอะขึ้น
ขณะเดียวกันยังนำประสบการณ์จากรุ่นพี่ที่โรงเรียนที่เคยเข้ามาประกวดก่อนหน้านี้มาปรับใช้ ประกอบกับการชูเอกลักษณ์ของเพลงในสไตล์ฟิวชั่นแบบผสมผสานไม่เหมือนใคร จึงทำให้วงเล่นได้โดดเด่นจนคว้ารางวัลชนะเลิศในครั้งนี้ ซึ่งพวกเขารู้สึกดีใจมากๆ เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้คาดหวังว่าจะเป็นแชมป์ จึงอยากจะบอกทุกคนว่าการเข้ามาแข่งขันไม่ใช่เรื่องยาก และไม่ต้องกลัว แค่มีความรักในเสียงดนตรี และตั้งใจ ทุกอย่างก็สามารถเป็นไปได้แน่นอน ทั้งยังได้ประสบการณ์ทางดนตรีจากมืออาชีพ พร้อมโอกาสและมิตรภาพจากเพื่อนต่างโรงเรียน จึงอยากขอบคุณคิง เพาเวอร์ที่จัดกิจกรรมดีๆ นี้
สำหรับคนดนตรีที่พลาดการประกวดในปีนี้ ไม่ต้องเสียใจ เตรียมฝึกซ้อมฝีมือกันไว้เลย เมื่อโอกาสมาถึง จะได้รีบคว้าไว้ ไม่แน่ว่าศิลปินคนต่อไปอาจเป็นคุณ