HomeAutomobileตลาด EV แดนอิเหนาฮอต Grab จับมือ BYD เพิ่มรถ EV 1,000 คัน

ตลาด EV แดนอิเหนาฮอต Grab จับมือ BYD เพิ่มรถ EV 1,000 คัน

แชร์ :

grab ev

อาจกล่าวได้ว่า อุตสาหกรรม EV ในแดนอิเหนาตอนนี้กำลังฮอตสุด ๆ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ มีบริษัทยักษ์ใหญ่มากมายเข้าไปลงทุนในธุรกิจดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็น Hyundai และ LG ที่เปิดโรงงานสำหรับผลิตแบตเตอรี่ EV รวมถึงค่าย BYD และ Neta จากจีนแผ่นดินใหญ่ที่เปิดโรงงานผลิตรถยนต์ในมูลค่าหลักพันล้านเหรียญสหรัฐฯ ล่าสุดถึงเวลาของ Grab ผู้ให้บริการ Ride-Hailing ที่ประกาศจับมือกับ BYD นำรถ EV เพิ่มลงในบริการของตนเองอีก 1,000 คัน โดยคาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ภายในสิ้นปีนี้

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

แผนการเพิ่มรถ EV ลงในพอร์ตโฟลิโอของ Grab จะทำให้ในภาพรวม บริษัทมีรถ EV ให้บริการรวมกันแล้วมากกว่า 10,000 คัน (ทั้งรถมอเตอร์ไซค์และรถยนต์) โดยรถ EV ของ BYD ที่จะให้บริการในอินโดนีเซียนั้นเป็นรถรุ่น M6 (รถรุ่นดังกล่าวเป็นรถเอนกประสงค์ และมีการเปิดตัวในอินโดนีเซียไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา) เพราะคาดว่าจะตอบโจทย์การใช้งานของผู้คนในอินโดนีเซียมากกว่า

ผู้บริหาร Grab ในอินโดนีเซียเผยด้วยว่า ตลาดอินโดนีเซียเป็นหนึ่งใน Key Market ของบริษัท Grab จึงต้องการส่งเสริมตลาดดังกล่าวด้วยตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

Gojek ก็เตรียมเปลี่ยนเป็นรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า

ไม่เฉพาะ Grab เพราะคู่แข่งยักษ์ใหญ่ของอินโดนีเซียอย่าง Gojek ก็มีแผนจะเปลี่ยนรถมอเตอร์ไซค์ของทางค่ายไปเป็นรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าทั้งหมดภายในปี 2030 เช่นกัน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ตลาด Ride-Hailing ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังเปลี่ยนไปสู่เทคโนโลยียานยนต์ที่ (น่าจะ) สะอาดขึ้นกว่าเดิม (Grab มีแผนจะเป็น Carbon Neutrality ภายในปี 2040)

ส่วนในแง่การลงทุน ก่อนหน้านี้ BYD ได้มีการลงทุนสร้างโรงงานผลิตรถยนต์มูลค่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะชวา และคาดว่าจะเริ่มผลิตรถได้ในเดือนมกราคม 2026 ส่วนโรงงานผลิตแบตเตอรี่ของ Hyundai และ LG ก็ตั้งอยู่ในเกาะเดียวกัน และมีกำลังผลิตแบตเตอรี่ถึง 10GWh หรือสามารถป้อนให้กับรถ EV ได้ถึง 150,000 คันต่อปีเลยทีเดียว

จะเห็นได้ว่านอกเหนือจากการลงทุนของบริษัทขนาดใหญ่แล้ว นโยบายของผู้ให้บริการ Ride-Hailing ในอินโดนีเซียก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่าตลาด EV ของอินโดนีเซียกำลังเปลี่ยนแปลงและเติบโต ซึ่งอาจเป็นบทสรุปกลาย ๆ ว่าความสำเร็จของการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีสะอาดนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างยั่งยืน ต้องมีการสนับสนุนจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล ภาคธุรกิจ หรือแม้แต่ตัวผู้บริโภคนั่นเอง

Source

Source

 


แชร์ :

You may also like