HomeDigitalองค์กรไทยใช้งาน AI เพิ่มขึ้น “ภาคการศึกษา-สถาบันการเงิน-โลจิสติกส์” พร้อมสุด

องค์กรไทยใช้งาน AI เพิ่มขึ้น “ภาคการศึกษา-สถาบันการเงิน-โลจิสติกส์” พร้อมสุด

26% มีแผนลดคนบางส่วนและใช้ Gen AI แทนที่

แชร์ :

AI Thailand Forum 2024 เปิดสถานการณ์การใช้งานปัญญาประดิษฐ์ (AI) ของประเทศไทย และยุทธศาสตร์ด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติ ในปี 2567 จากการศึกษา 580 หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน พบการประยุกต์ใช้ AI แล้ว 103 หน่วยงาน หรือคิดเป็น 17.8% ขณะที่ 73.3% ระบุว่ามีแผนจะนำมาใช้ในอนาคต และ 26% ระบุด้วยว่ามีแผนจะลดคนบางส่วนจากการมาถึงของ Gen AI

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

การสำรวจดังกล่าวเป็นการศึกษาร่วมกันของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA, กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เกี่ยวกับความพร้อมในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในปี 2567 โดยพบตัวเลขที่น่าสนใจอีกมากมาย ดังนี้

  • มีหน่วยงานที่ประยุกต์ใช้ AI ในปี 2567 แล้ว 103 หน่วยงาน จากทั้งหมด 580 หน่วยงาน หรือคิดเป็น 17.8%
  • หน่วยงานที่อยู่ระหว่างการพิจารณาว่าจะใช้ AI 425 หน่วยงาน หรือคิดเป็น 73.3%
  • หน่วยงานที่ยังไม่มีแผนจะใช้ AI หรือต้องการการสนับสนุน 52 หน่วยงาน หรือคิดเป็น 8.9%

ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวเพิ่มขึ้นจากปี 2566 ที่พบว่ามีการใช่งาน AI แล้ว 86 หน่วยงาน หรือคิดเป็น 15.2% จากผู้ตอบแบบสอบถาม 565 หน่วยงาน

สำหรับเป้าหมายในการนำ AI มาใช้งานขององค์กรที่ทำการสำรวจ พบว่า 3 เป้าหมายหลักคือ

  • เพิ่มประสิทธิภาพการจัดการภายในองค์กร 69.6%
  • เพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิต 59.8%
  • เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้ผลิตภัณฑ์ 56.8%

ภาคการศึกษา “พร้อมใช้ AI” สูงสุด

การศึกษาดังกล่าวของสวทช. ยังเจาะไปในแต่ละอุตสาหกรรม โดยพบว่า กลุ่มที่มีความพร้อมในการใช้งาน AI สูงสุด 3 อันดับแรกได้แก่

  • ภาคการศึกษา 71.2%
  • กลุ่มการเงินและการค้า 65.5%
  • กลุ่มโลจิสติกส์ และการขนส่ง 63.5%

ซึ่งเป็นอันดับที่เปลี่ยนแปลงจากปี 2566 ไปพอสมควร (3 อันดับแรกของปี 2566 ได้แก่ กลุ่มสถาบันการเงิน, กลุ่มการศึกษา และกลุ่มบริการภาครัฐ)

พบหน่วยงาน 26% เตรียมลดคนบางส่วนเพราะ Gen AI

นโยบายจ้างงานเองก็ได้รับผลกระทบจากการมาถึงของ Generative AI โดยพบว่า 26% ขององค์กรที่ทำการสำรวจมีนโยบายลดคนบางส่วน ขณะที่อีก 40% ระบุว่า จะไม่ลดคน แต่จะฝึกทักษะด้าน Gen AI เพิ่ม และ 34% ระบุว่ายังไม่มีนโยบาย

อย่างไรก็ดี ไม่มีบริษัทใดมีแผนจะลดคนทั้งหมดเพราะใช้ Gen AI ทำงานแทนได้

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจำนงค์ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวถึงความท้าทายดังผ่านการจัดทำแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติตลอดสองปีที่ผ่านมาว่า มีผลการดำเนินงานที่สำคัญในด้านต่าง ๆ เช่น ในด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีการพัฒนาแพลตฟอร์มกลางบริการ AI ประเทศไทย (National AI Service platform) ภายใต้การสนับสนุนของ GDCC มีจำนวนการใช้งานโดยเฉลี่ยเดือนละ 1 ล้านครั้งต่อเดือน

รวมทั้งให้บริการ LANTA ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพการคำนวณอันดับ 1 ในอาเซียน สำหรับการวิจัยด้าน AI ของภาครัฐและเอกชน

พัฒนากำลังคนด้าน AI

ด้านการพัฒนากำลังคนด้าน AI ในปีที่ผ่านมา มีการพัฒนากำลังคนด้าน AI ผ่านการพัฒนาทักษะทางด้าน AI ในรูปแบบต่าง ๆ อาทิ แพลตฟอร์มออนไลน์ที่เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง หลักสูตรอบรมทักษะ AI ระยะสั้นและหลักสูตรพัฒนาทักษะ AI ที่ผสมผสานตั้งแต่การเรียนรู้ด้วยตนเองจนปิดท้ายด้วยการฝึกงานในสถานที่จริงเป็นจำนวนรวมมากกว่า 1 แสนคน โดยแผนพัฒนากำลังคนด้าน AI มีกรอบดำเนินการใน 3 ส่วน แบ่งตามช่วงชีวิตการเรียนรู้ของคน ดังนี้

(1) AI@School เพื่อสร้างผู้สอนและบรรจุหลักสูตร AI สำหรับนักเรียนทุกช่วงชั้นให้มีความตระหนักและทักษะทางด้าน AI เบื้องต้น
(2) AI@University เพื่อพัฒนาทักษะ AI ทุกระดับอย่างต่อเนื่องในระบบอุดมศึกษา
(3) AI@Lifelong Learning เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนในทุกช่วงวัยและทุกระดับการศึกษาสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะ AI ได้ตลอดช่วงชีวิต

ส่วนด้านการวิจัยและนวัตกรรม ได้ดำเนินการนำ AI เพิ่มประสิทธิภาพการวิเคราะห์ข้อมูลประชากรขนาดใหญ่ เพื่อการวางแผนยุทธศาสตร์ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ โดยมีผู้ได้รับประโยชน์มากกว่า 6 แสนคน มีหน่วยงานภาครัฐนำไปใช้ประโยชน์ 220 หน่วยงาน ครอบคลุม 17 จังหวัดทั่วประเทศ และการจัดตั้งเครือข่ายความร่วมมือ Medical AI Consortium เพื่อรวบรวมและเผยแพร่ข้อมูลขนาดใหญ่ด้านการแพทย์และสาธารณสุข (Medical AI Data Sharing) ในปัจจุบันมีข้อมูลภาพถ่ายทางการแพทย์มากกว่า 1.6 ล้านภาพ

ความพร้อมไทยด้าน AI อยู่ในอันดับ 37

ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากการดำเนินงานขับเคลื่อนแผน AI แห่งชาติตามแผนยุทธศาสตร์ในด้านต่าง ๆ ในปีที่ผ่านมาได้สะท้อนผ่านการจัดอันดับดัชนีความพร้อมด้านปัญญาประดิษฐ์ของรัฐบาล (AI Government Readiness Index) ปี 2566 ที่ประเทศไทยยังคงรักษาตำแหน่งในกลุ่ม 40 อันดับแรกของโลก ท่ามกลางการแข่งขันที่เข้มข้นขึ้น และจำนวนประเทศที่เข้าร่วมการจัดอันดับที่เพิ่มขึ้น โดยอยู่ในลำดับที่ 37 จาก 193 ประเทศ แม้จะปรับตัวลง 6 อันดับจากปีก่อนที่อยู่ในลำดับที่ 31 จาก 181 ประเทศ

เมื่อพิจารณาในรายละเอียด พบว่าไทยมีจุดแข็งในด้านภาครัฐที่ได้ 77.21 คะแนน และด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ได้ 70.55 คะแนน สะท้อนความพร้อมของกลไกภาครัฐและระบบโครงสร้างพื้นฐานในการรองรับการพัฒนา AI

ขณะที่ด้านเทคโนโลยีได้ 41.33 คะแนนซึ่งสูงขึ้นจากปีก่อน แต่ก็ยังเป็นส่วนสำคัญที่ไทยต้องเพิ่มการพัฒนาต่อยอดเพื่อยกระดับขีดความสามารถด้าน AI ในองค์รวมของประเทศในระยะต่อไป

ด้าน ดร.ชัย วุฒิวิวัฒน์ชัย ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (เนคเทค) ในฐานะผู้ช่วยเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านปัญญาประดิษฐ์แห่งชาติเพื่อการพัฒนาประเทศไทย กล่าวว่า เนคเทคได้ส่งมอบแพลตฟอร์มให้บริการปัญญาประดิษฐ์สัญชาติไทย หรือ AI for Thai ให้เป็นหนึ่งในโครงสร้างพื้นฐานสำคัญด้าน AI ของประเทศ และแผนปฏิบัติการ AI แห่งชาติ ในฐานะแพลตฟอร์มกลางบริการ AI ประเทศไทย (National AI Service platform) ภายใต้การสนับสนุนของ GDCC และหน่วยงานพันธมิตร ซึ่งให้บริการ API มากกว่า 60 รายการ ครอบคลุมการประมวลผลภาษาไทย ทั้งด้านภาพ เสียง และข้อความ และมียอดการใช้งานสะสม 53 ล้านครั้ง

นอกจากนี้เนคเทคและพันธมิตรยังร่วมพัฒนา ‘OpenThaiGPT’ แบบจำลองภาษาไทยขนาดใหญ่ (Large Language Model) ในรูปแบบโมเดลพื้นฐานแบบโอเพนซอร์ส (Open-source Foundation Model) ที่ตอบสนองความต้องการด้านการประมวลผลภาษาไทย

“ปทุมมา” LLM เวอร์ชันไทย

ปัจจุบันมี 5 หน่วยงานทดลองนำระบบไปประยุกต์ใช้งาน (Proof of Concept) ได้แก่ สภาผู้แทนราษฎร ศูนย์ดัชนีการอ้างอิงวารสารไทย สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ และกรมสรรพากร และเป็นโมเดลพื้นฐานของการเปิดตัว 22 บริการใหม่บน AI for Thai (www.aiforthai.co.th) โดยมีไฮไลท์ คือ “ปทุมมา LLM” Generative AI ที่สามารถประมวลข้อมูลภาษาไทยได้หลากหลายทั้งรูปภาพ เสียง และข้อความ ถามตอบได้อย่างเป็นธรรมชาติ สามารถบรรยายรูป (image captioning) ถอดและบรรยายเสียง (ASR and ACC) วิเคราะห์อารมณ์ผู้พูด (Audio Analysis) ถามตอบจากเสียง (Audio QA) อีกทั้งยังสามารถเข้าใจและสรุปสาระสำคัญของเอกสารราชการ หรืองานวิจัยได้อีกด้วย

Source

 


แชร์ :

You may also like