เกรท วอลล์ มอเตอร์ เริ่มกระบวนการโอนย้ายฐานการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวาจากจีนสู่ไทย พร้อมประกาศดัน “ไทย” เป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวาที่สามารถส่งออกตลาดโลกได้ภายใน 3 ปี ตั้งเป้ายอดผลิต 120,000 คัน (จากกำลังผลิตปัจจุบัน 80,000 คัน) โดยในตอนนี้เริ่มมีการส่งออกรถพวงมาลัยขวาไปยังเวียดนามและอินโดนีเซียแล้ว
คุณปาร์คเกอร์ ฉี ประธานเกรท วอลล์ มอเตอร์ ตลาดต่างประเทศ อธิบายเพิ่มเติมถึงการเลือกประเทศไทยเป็นฐานการผลิตว่า เนื่องจากไทยมีความพร้อมในหลายด้าน ทั้งในด้านแรงงานที่มีทักษะ ความพร้อมด้านกฎหมาย ภาษี และโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ Great Wall Motors International เลือกประเทศไทยเป็นฐานในการต่อยอดตลาดรถยนต์ประเภทดังกล่าว
นอกจากนี้ คุณปาร์คเกอร์ยังระบุด้วยว่า ที่ผ่านมา เกรท วอลล์ มอเตอร์มีการลงทุนในประเทศไทยไปแล้วกว่า 12,000 ล้านบาท และวางแผนจะลงทุนเพิ่ม รวมเป็นมูลค่าการลงทุนกว่า 23,000 ล้านบาท (ภายในระยะเวลา 3 ปี) เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดรถ EV
“บทบาทต่อจากนี้ของเราคือการผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและส่งออกรถยนต์พวงมาลัยขวาสู่ผู้ใช้งานทั่วโลก ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญเชิงกลยุทธ์ และสะท้อนว่า เราต้องการทำธุรกิจในประเทศไทยในระยะยาว”
ผู้บริหารเกรท วอลล์ มอเตอร์เผยด้วยว่า ที่ผ่านมา บริษัทสามารถจำหน่ายรถยนต์ในต่างประเทศได้แล้วกว่า 14 ล้านคันทั่วโลก และในช่วงเดือนมกราคม – กันยายน 2567 บริษัทสามารถทำยอดขายในตลาดต่างประเทศได้ถึง 316,000 คัน เติบโตจากปีที่แล้ว 22.17%
ให้คะแนนทีมประเทศไทย 6/10
อย่างไรก็ดี เมื่อกล่าวถึงการแข่งขันในประเทศไทย คุณปาร์คเกอร์ระบุว่า ในระยะเวลา 4 ปีที่ให้บริการนั้น ตนเองให้คะแนนทีมงานในไทยแตกต่างกัน โดยสองปีแรกให้ 8 เต็ม 10 ขณะที่ในสองปีหลังนั้นขอให้คะแนนเพียง 6 เต็ม 10 พร้อมเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า ใน 1 – 2 ปีแรก ทีมงานทำตลาดได้ดี โดยเฉพาะรถยนต์รุ่น ORA Good Cat แต่หลังจากนั้นพบว่ายอดขายตกต่ำลง และมีสิ่งที่ต้องปรับปรุงเกิดขึ้น อีกทั้งยังมีแบรนด์รถยนต์ EV จากจีนเข้ามา ทำให้การแข่งขันสูงขึ้นมาก
GWM ชี้สงครามราคาไม่ใช่คำตอบ
ทางผู้บริหารยังได้กล่าวถึงการเกิดสงครามราคาในช่วงที่ผ่านมาด้วยว่า ไม่ใช่คำตอบในการทำธุรกิจที่ยั่งยืนของตลาดรถ EV เนื่องจากทำให้คุณภาพสินค้าตกต่ำลง และอาจมีผลต่อชื่อเสียงของแบรนด์ในระยะยาว ซึ่งไม่ใช่ทิศทางที่ Great Wall Motors International จะเลือกใช้ในการบุกตลาดนอกประเทศจีน
พร้อมกันนี้ คุณปาร์คเกอร์ได้กล่าวถึงกลยุทธ์ที่ Great Wall Motors International จะนำมาปรับปรุงเพื่อให้ประสบการณ์ของลูกค้า พาร์ทเนอร์ และ Ecosystem ของตลาดรถ EV ดีขึ้นว่า ประกอบด้วย 4 ข้อ ได้แก่
- กลยุทธ์ด้านบริการหลังการขาย ซึ่งจะมีทั้งการอบรมพนักงานเพื่อให้สามารถมอบบริการที่ดีกับลูกค้า รวมถึงรับฟังเสียงลูกค้าเพื่อไปพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การปรับปรุงบริการหลังการขาย การสร้างศูนย์กระจายอะไหล่ขนาดใหญ่ การเพิ่มจำนวนการเก็บชิ้นส่วนอะไหล่กว่า 1,000 SKUs ในประเทศไทย (โดยมี Part Fill Rate ที่ 97%) การพัฒนาศูนย์สี และซ่อมตัวถังครบวงจร ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
- การวางแผนเปิดตัวโปรดักท์ที่ตอบโจทย์ตลาด เช่น การเปิดตัวรถยนต์ GWM Tank เครื่องยนต์ดีเซล ในปี 2568 หลังพบความต้องการในตลาดไทย เพื่อให้ผู้บริโภคมีทางเลือกเพิ่มขึ้น
- การให้ความสำคัญกับพาร์ทเนอร์เพื่อรองรับการแข่งขันของตลาด และจะเดินหน้าขยายธุรกิจฟลีทให้ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงเข้าร่วมการประมูลของรัฐด้วย
- กลยุทธ์ด้านการสร้างแบรนด์ให้มีความทันสมัยขึ้น รวมถึงเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคมมากขึ้น เพื่อให้กลุ่มผู้ใช้งานมีการเติบโตอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ ผู้บริหาร Great Wall Motors International ยังกล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า ชอบคนไทย และวัฒนธรรมไทย เนื่องจากเป็นประเทศที่สงบสุข ซึ่งอาจจะแตกต่างจากสิ่งที่อุตสาหกรรมรถยนต์กำลังเผชิญ หรือก็คือโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ซึ่งหากบริษัทไม่มีทีมงานที่ดี โปรดักท์ที่ดี Ecosystem ที่มั่นคง บริษัทเหล่านั้นก็อาจต้องออกจากการแข่งขันไปก็เป็นได้
“เรามีโรงงานในประเทศไทย แสดงให้เห็นว่า เราตั้งใจลงทุนในประเทศไทยระยะยาว เพราะฉะนั้น เราต้องตั้งใจทำผลงานให้ดี เพื่อให้ผู้บริโภคยังคงให้ความเชื่อมั่นกับแบรนด์” คุณปาร์คเกอร์กล่าวทิ้งท้าย
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE
รูปภาพ/วิดีโอจาก Number 24 x Shutterstock Thailand พาร์ทเนอร์ชัตเตอร์สต็อกอย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
www.number24.co.th
#Number24xShutterstock