HomeBrand Move !!เรียนรู้วิธีสร้างตลาดของ THE TITLE จาก “แอสเซทไวส์” จนแจ้งเกิดในภูเก็ต ลุยเปิด 4 โครงการใหม่ ดันสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 30% ในปี 2568

เรียนรู้วิธีสร้างตลาดของ THE TITLE จาก “แอสเซทไวส์” จนแจ้งเกิดในภูเก็ต ลุยเปิด 4 โครงการใหม่ ดันสัดส่วนรายได้เพิ่มเป็น 30% ในปี 2568

แชร์ :

ย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 20 ปีก่อน ชื่อ “บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน)” หรือ “ASW” ยังเป็นแบรนด์อสังหาฯ เล็กๆ แทบไม่มีใครรู้จัก แต่มาวันนี้ “แอสเซทไวส์” กลายเป็นหนึ่งในดีเวลลอปเปอร์ที่เติบใหญ่อย่างแข็งแกร่ง โดยมีแบรนด์คอนโดและบ้านเดี่ยวในมือกว่า 7 แบรนด์ จากการวางจุดยืนที่แตกต่างโดยเลือกเจาะทำเลใกล้กับสถานศึกษาและมหาวิทยาลัย จนแจ้งเกิดแบรนด์ในตลาด จากนั้นก็บุกทำเลใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องมาถึงทุกวันนี้ หนึ่งในนั้นคือ เมืองท่องเที่ยวอย่างจังหวัด “ภูเก็ต” ซึ่งปัจจุบันกำลังเป็นทำเลทอง แถมยังสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดให้กับบริษัท

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

แต่การจะแทรกตัวเข้าไปในตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการแข่งขันรุนแรงไม่แพ้ตลาดอสังหาฯ กรุงเทพฯ จากผู้เล่นโลคอลที่ทำตลาดมานาน ทว่า “คุณกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอสเซทไวส์ ก็สามารถเสาะหาวิธีจนแจ้งเกิดในตลาดได้สำเร็จ วิธีการของเขาเป็นอย่างไร? Brand Buffet พามาศึกษาแนวคิด พร้อมอัพเดทสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต และทิศทางการบุกตลาดของแอสเซทไวส์นับจากวันนี้กันอย่างเจาะลึก

อสังหาฯ ภูเก็ตสุดร้อนแรง

ต้องบอกว่า “ภูเก็ต” เป็นจังหวัดเล็กๆ มีพื้นที่เพียง 543 ตร.กม. เท่านั้น แต่ตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตกลับไม่เล็กเลย โดยก่อนวิกฤตโควิด มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยคิดเป็นมูลค่า 24,000 ล้านบาท แต่หลังโควิด คุณพัทธนันท์ พิสุทธิ์วิมล เลขาธิการ และอุปนายกสมาคมอสังหาฯ ภูเก็ต บอกว่า ตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตบูมขึ้นมาก โดยข้อมูลของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ระบุว่า ปี 2566 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมีมูลค่ารวมประมาณ 31,500 ล้านบาท และในปี 2567 คาดว่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจะมีมูลค่ารวมประมาณ 33,730 ล้านบาท หรือขยายตัวขึ้น 7.1% เมื่อเทียบกับปี 2566 

โดยสาเหตุที่ทำให้ตลาดอสังหาฯ ในภูเก็ตคึกคักสวนทางกับจังหวัดอื่น เพราะหลังโควิดพฤติกรรมของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในภูเก็ตเปลี่ยนไป จากการสู้รบ และสถานการณ์เศรษฐกิจ ทำให้ประชากรหลายชาติมองหา Second Home เพื่ออยู่อาศัยหรือพักผ่อนได้เมื่อเกิดปัญหาขึ้น จึงกลายเป็นจุดเริ่มต้นให้ชาวต่างชาติทั่วโลกหันมาซื้ออสังหาฯ ในภูเก็ตมากขึ้น ส่งผลให้ฐานลูกค้ากว้างขึ้น ทั้งรัสเซีย ยูเครน ยุโรป และจีน จากเดิมที่มีเพียงไม่กี่กลุ่ม และทำให้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการจึงหันมาบุกตลาดอสังหาฯ ในภูเก็ตกันมากขึ้น รวมถึงแอสเซทไวส์

สำหรับการเข้ามาบุกตลาดของแอสเซทไวส์ เกิดขึ้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว จากการมองหาทำเลใหม่ๆ นอกเหนือจากกรุงเทพฯ เพื่อสร้างการเติบโตให้กับบริษัทมากขึ้น และเมื่อลงมาศึกษาตลาด พบว่า ตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตน่าสนใจมาก นอกจากความโดดเด่นในเรื่องทะเลแล้ว ในแต่ละปียังมีนักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาล และที่สำคัญคือ อสังหาฯ มีการเติบโตมาก จึงตัดสินใจลงมาทำตลาด

แม้ตลาดอสังหาฯ ในภูเก็ตจะเติบโต แต่คุณกรมเชษฐ์ ยอมรับว่า ตลาดนี้ก็เป็นตลาดที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง จากผู้เล่นโลคอลที่อยู่ในพื้นที่มานาน และดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่จากกรุงเทพฯ ที่แข็งแกร่ง ขณะที่เมื่อหันมามอง Brand Awareness ของแอสเซทไวส์ แทบจะไม่มีใครรู้จัก

“ครั้งแรกที่ตัดสินใจจะลงมาทำตลาดที่ภูเก็ต เซลล์ถามว่าจะใช้แบรนด์แอสเซทไวส์หรือเปล่า ถ้าใช้จะขอลาออก เพราะไม่มีใครรู้จักแบรนด์ เราก็ตกใจ แต่พอลงมาดูพื้นที่ ปรากฎว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ” คุณกรมเชษฐ์ เล่าถึงวันแรกที่คิดจะเข้ามาทำตลาด และส่งผลทำให้ต้องกลับมาคิดหาวิธีการทำตลาดใหม่

“ความน่าเชื่อถือ” กุญใจมัดใจชาวต่างชาติ

กระทั่งในช่วงนั้นทางบริษัท ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ TITLE เกิดปัญหาจากสถานการณ์โควิด และกำลังมองหาผู้ร่วมทุน คุณกรมเชษฐ์จึงสนใจ เนื่องจากร่มโพธิ์เป็นผู้ประกอบการอสังหาฯ โลคอลในจ.ภูเก็ตมากว่า 12 ปี จึงมีทั้งโนว์ฮาว และความเข้าใจตลาดภูเก็ตเป็นอย่างดี บวกกับมีที่ดินรอการพัฒนาอีก 80 ไร่ ดังนั้น หากใช้โมเดลนี้ จะช่วยให้แอสเซทไวส์ทำธุรกิจต่อได้ทันที แต่ถ้าลงทุนสร้างแบรนด์เอง อาจต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะเข้าใจตลาดและแบรนด์เป็นที่รู้จัก จึงตัดสินใจเข้าซื้อหุ้นร่มโพธิ์ในสัดส่วน 67.94%

คุณกรมเชษฐ์ บอกว่า ช่วงแรกที่เข้ามา THE TITLE ได้เริ่มพัฒนาโครงการเดอะไทเทิล ฮาโล วัน แล้ว จากนั้นปลายปี 2566 ได้เปิดตัวคอนโด 3 โครงการใหม่ต่อเนื่อง พร้อมกับเลือกวางตัวเองในตลาด Leisure Residences เพื่อเจาะชาวต่างชาติกระเป๋าหนัก ซึ่งเป็นการเข้าตลาดที่ฉีกหนีคู่แข่ง ทำให้เมื่อเปิดโครงการ ชาวต่างชาติจึงตอบรับอย่างมาก จึงลุยเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง ปัจจุบันมีโครงการที่พัฒนาร่วมกันทั้งสิ้น 4 โครงการ โดยลูกค้ากว่า 95% เป็นชาวต่างชาติ ส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย ยูเครน และยุโรป ล่าสุดจึงเดินหน้าเปิดโครงการใหม่อีก 4 โครงการ โดยโฟกัสทำเลบางเทา กะตะ และราไวย์ รวมมูลค่า 15,500 ล้านบาท ได้แก่ 1.เดอะ ไทเทิล เชียโล่ ราไวย์ (THE TITLE CIELO RAWAI) 2.เดอะ โมเดวา (THE MODEVA) 3.เดอะ ไทเทิล อาร์ทริโอ บางเทา (THE TITLE ARTRIO BANG-TAO) และ 4.คาตาเบลโล (KATABELLO) ในกะตะ

โดยหัวใจสำคัญที่ทำให้ The TITLE เติบโตอย่างรวดเร็ว คุณกรมเชษฐ์ บอกว่า ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ เป็นปัจจัยสำคัญมาก เพราะการทำตลาดอสังหาฯ ในภูเก็ต แตกต่างจากกรุงเทพฯ สิ้นเชิง โดยเป็นการทำตลาดผ่าน Agent ไม่ได้ขายตรงกับผู้บริโภค ดังนั้น ถ้า Agent ไม่เชื่อมั่นในสินค้าว่าดีและสามาถสร้างเสร็จ ก็จะไม่หยิบไปแนะนำกับชาวต่างชาติ การที่ THE TITLE ทำตลาดในภูเก็ตมานาน บวกกับจุดแข็งในเรื่อง “ทำเล” โครงการที่ตั้งอยู่ในโซนที่ตลาดต้องการ พร้อม “Facility” ที่ครบและสอดรับกับการอยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมาย จึงสร้างความเชื่อมั่นให้กับ Agent

เทรนด์อสังหาฯ Luxury มาแรง แก้ Pain Point ที่ดินหายากขึ้น

แม้จะลุยตลาดอสังหาฯ ในภูเก็ตมาได้เพียง 2 ปี แต่คุณกรมเชษฐ์ มองว่า เป็นช่วงเวลาที่ทำให้ได้เรียนรู้อะไรมากมาย ทั้งตลาดภูเก็ตและกลุ่มเป้าหมายที่มีความแตกต่างจากตลาดอสังหาฯ กรุงเทพฯ ส่งผลให้เกิดการพัฒนาตัวเองและผลิตภัณฑ์ขึ้นไปอีกขั้น ทั้งยังเชื่อว่า ตลาดอสังหาฯ ภูเก็ตยังมีศักยภาพไปได้อีกเป็น 10 ปี

“ถ้าสถานการณ์ยุโรปยังมีปัญหาในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสู้รบ เงินเฟ้อ และค่าครองชีพสูง ก็มีโอกาสที่นักท่องเที่ยวจะย้ายมาซื้ออสังหาฯ ในภูเก็ตมากขึ้น เพื่อลดต้นทุน ยิ่งตอนนี้ในยุโรปสามารถ Work from Home ได้มากขึ้น ก็ยิ่งเป็นปัจจัยให้สามารถย้ายมาอยู่ภูเก็ตได้ง่ายขึ้น”

คุณพัทธนันท์ ย้ำถึงศักยภาพของตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต โดยเทรนด์การพัฒนาที่อยู่อาศัยนับจากนี้จะเป็นที่อยู่อาศัย Luxury มากขึ้น เพราะภูเก็ตมีพื้นที่ก่อสร้างแค่ 1 ใน 3 เมื่อที่ดินมีน้อย บวกกับต้นทุนที่ดินและค่าก่อสร้างขยับขึ้นมาก โดยเฉพาะโซนบางเทาปรับขึ้นเท่าตัว ตอนนี้ราคาอยู่ที่ 10 ล้านบาท จากก่อนโควิดราคาเพียง 4 ล้านบาท จึงทำให้ดีเวลลอปเปอร์ต้องพัฒนาสินค้าที่ดีมีคุณภาพ และเจาะกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ที่ต้องการสินค้าที่ดีมากกว่าเน้นขายแมส ซึ่งในปัจจุบันจะเริ่มเห็นที่อยู่อาศัยระดับราคา 30 ล้านบาทเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก

ถึงแม้ว่าผลตอบรับจะไปได้สวย แต่คุณกรมเชษฐ์ ยอมรับว่า ปัจจุบัน THE TITLE มีส่วนแบ่งตลาดไม่ถึง 10% เพราะที่ผ่านมาเน้นเจาะตลาด Leisure Residence เป็นหลัก แต่จาก Backlog สะสมที่มีราว 8,022 ล้านบาท และเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ปี 2567 จากเดอะ ไทเทิล ฮาโล 1 ประกอบกับนักท่องเที่ยวกลับมาเข้ามากขึ้น ก็มองว่าเป็นการเติบโตที่ดี และน่าจะทำให้ปีนี้เติบโตได้ตามเป้า

“เราไม่เคยคิดถึงส่วนแบ่งตลาดในภูเก็ต เพราะเราเพิ่งเข้ามาทำตลาดไม่นานและมีเจ้าตลาดเดิมอยู่ แต่ด้วยความที่เรามูฟเร็ว เราก็ถือเป็นดีเวลลอปเปอร์ที่สร้างความน่าสนใจในภูเก็ต โดยในปีนี้ THE TITLE จะมีสัดส่วนรายได้ประมาณ 10% ของแอสเซทไวส์ และเพิ่มเป็น 30% ในปี 2568 ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่ง Growth Engine ที่ช่วยสร้างการเติบโตให้กับแอสเซทไวส์อย่างมาก”

ติดตามพวกเราได้ที่ LINE


แชร์ :

You may also like