หากพูดถึง “คุณแก้ม – ขวัญชนก วุฒิกุล” เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นกับเธอคนนี้ในฐานะคอมเมนเตเตอร์ในรายการ “ทีเด็ดลูกหนี้” เพราะเธอคือ “ตัวตึง” ของรายการ ด้วยคาแรคเตอร์และสไตล์การคอมเมนต์ที่ตรง แรง ทำให้กลายเป็นคอมเมนเตเตอร์สายโหดในมุมมองของผู้ชมและเหล่าลูกหนี้ในรายการ แต่กลับเป็นเอกลักษณ์ที่พลิกชีวิตให้เธอเป็นที่รู้จักในวงกว้างมาถึงทุกวันนี้
นอกจากการทุ่มเทกับการเป็นคอมเมนเตเตอร์มาตลอด 10 ปี อีกมุมหนึ่งที่หลายคนอาจไม่ค่อยได้เห็นคือ มุมของ “เจ้าของธุรกิจ” และ “นักเขียน” โดยเธอเป็นผู้บริหารบริษัทเอเยนซี่พีอาร์ “ไอทูซี คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด” ที่บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯหลายแห่งไว้วางใจให้เป็นที่ปรึกษาด้านประชาสัมพันธ์ ขณะเดียวกันก็ยังทำเพจ “เล่าเรื่องเงิน – Kwanchanok Wutthikul Stories” ที่เล่าเรื่องการเงินรอบๆตัวเราแบบเข้าใจง่าย สามารถนำไปใช้ในชีวิตจริงได้ เท่านั้นยังไม่พอยังทำเพจ “หนีงานมารีวิวซีรี่ส์” ที่มีผู้ติดตามไปจำนวนมากมาย
และคือที่มาและแรงบันดาลใจของเธอให้ทำสิ่งต่างเหล่านี้ Brand Buffet ชวนมาทำความรู้จักหญิงเก่งคนนี้แบบหมดเปลือก พร้อมหลักการบริหารเงินไม่ให้เป็นหนี้ในยุคของแพงแบบนี้เพื่อให้ทุกคนนำไปปรับใช้ได้จริง
จากเด็กไม่เก่ง ติด F ทุกวิชา สู่เส้นทางนักข่าว
ด้วยบุคลิกที่คล่องแคล่ว ตอบคำถามอย่างฉะฉาน ทั้งยังทำอะไรได้หลากหลาย หลายคนคงคิดว่าเธอต้องเรียนเก่งมาตั้งแต่เด็ก แต่คุณแก้มเล่าว่า ในวัยเด็กเรียนไม่เก่งเลย แถมฐานะทางบ้านไม่ได้ร่ำรวย ทั้งยังเป็นเด็กบ้านแตก พ่อแม่แยกทางกัน โดยพี่ชายอยู่กับแม่ ส่วนเธอกับน้องอยู่กับพ่อและภรรยาใหม่ ตอนเข้ามหาวิทยาลัย ก็ไม่รู้จะเรียนอะไร พ่อบอกให้เรียนบัญชี จบมาจะได้มีงานทำ ตอนนั้นไม่ชอบ แต่ก็เลือกเรียนคณะบัญชีตามพ่อ จนติด F ทุกวิชา ใช้เวลา 5 ปี จนจบ ได้เกรด 2.10
โดยแรงฮึดเดียวที่ต้องเรียนให้จบคือ การได้ “ทำงาน” และ “มีเงิน” มาซื้อบ้านเพื่อให้ทุกคนมาอยู่ด้วยกัน แต่พอจบมา กลับหางานทำไม่ได้อยู่ปีกว่า แม่ก็บอกไม่เป็นไร ยังเลี้ยงได้ แม้ลึกๆ จะไม่ไหวก็ตาม และคำพูดนี้เองที่ทำให้คุณแก้มฮึดสู้ กระทั่งวันหนึ่งนั่งรถเมล์กลับบ้านผ่านตึกวัฎจักร เลยลองไปสมัครฝ่ายบัญชีการเงิน ปรากฎว่าบริษัทโทรให้มาสัมภาษณ์ในตำแหน่งนักข่าว ก็ถามพ่อว่าจะเป็นนักข่าวได้หรอ? เพราะจบบัญชีการเงินมา พ่อก็บอกให้ลองดู
“บก.ถามว่าเขียนข่าวได้ไหม ด้วยความที่บริษัทเคยรับคนจบนิติศาสตร์ จบเศรษฐศาสตร์มาเป็นนักข่าว เลยถามกลับไปว่าพวกเขาเขียนได้ไหม เขาตอบว่าเขียนได้ เลยตอบกลับไปว่า ถ้าเขาทำได้เราก็ทำได้ ผนวกกับบุคลิกและการตอบคำถาม ทำให้วัฎจักรรับเข้าทำงานประจำเป็นนักข่าวสายหุ้นเมื่อปี 2536 แต่ก่อนหน้านั้นไปสมัครงานตำแหน่งบัญชี เขาถามว่าลงบัญชีได้ไหมก็บอกว่า น่าจะได้ค่ะ เขาถามว่าแล้วปิดบัญชีได้ไหม เราก็ตอบว่า ไม่น่าจะได้ค่ะ ก็บอกเขาไปตรงๆ ดังนั้นเขาก็ไม่รับ”
เก่งน้อยกว่า ต้องทำมากกว่า
คุณแก้ม บอกถึงเส้นทางการทำงานครั้งแรกในชีวิต ในฐานะนักข่าว ได้เงินเดือน 4,500 บาท ทำไปได้ 3 วัน กลับบ้านร้องไห้เลย เพราะไม่มีใครสอนงาน เนื่องจาก บก.ที่รับเข้าทำงาน ประสบอุบัติเหตุ ขาหัก แม่ก็บอกว่าถ้าไม่ไหว ลาออกได้นะ ไม่ต้องทน แม่เลี้ยงได้ จึงรู้สึกว่าต้อง “ลองทำ” สักตั้ง พอลองไปสักพัก ก็มีนักข่าวใหม่สายหุ้นซึ่งไม่มีความรู้ด้านการเขียนและเรื่องหุ้นเข้ามาเพิ่ม บริษัทจึงอยากหาครูมาสอน นั่นคือ คุณวีระ ธีรภัทร ซึ่งตอนนั้นเป็นหัวหน้าโต๊ะเศรษฐกิจ นสพ.เดลินิวส์ จึงได้ร่ำเรียนวิชากับคุณวีระ ก่อนที่อีก 1 ปีต่อมา คุณวีระจะเข้ามาเป็นบรรณาธิการอำนวยการที่วัฎจักร
เพราะว่าอยากเป็นคนเก่ง ช่วงนั้นคุณแก้มจึงทุ่มเททำงานอย่างหนัก ยอมไม่นอนก็ได้ ซื้อเครื่องพิมพ์ดีดมาหัดพิมพ์ถึงตี 2 ทำงาน 7 วันก็ได้ กระทั่งจนได้รับโอกาสทำรายการทีวี และจัดรายการวิทยุกับคุณวีระ กระทั่งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ปี 2540 คุณวีระก็พาไปจัดรายการวิทยุ 97 F.M. ช่วงบ่าย 2 ด้วยสไตล์การจัดรายการที่ไม่เหมือนใครของคุณวีระ จากช่วงเวลาที่โฆษณาไม่เข้า ก็กลายเป็นรายการได้เรทติ้งดีที่สุด จากนั้นก็ขยับมาจัดรายการเรื่องหุ้นช่วง 4 โมงเย็นต่อ
“ทุกอย่างสอนให้รู้ว่า ถ้าเราเก่งน้อยกว่าคนอื่น เริ่มช้ากว่าคนอื่น ถ้าไม่ทุ่มเท ทำมากกว่าคนอื่น และเร่งให้สุด เราก็จะอยู่ได้แค่นี้ และไม่มีทางสู้คนอื่นได้”
จุดเปลี่ยนชีวิต กับ บทบาทเจ้าของธุรกิจ
หลังจัดรายการวิทยุอยู่ 1 ปี ผู้บริหารเนชั่น (คุณอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ) โทรมาหาสามี (คุณปิยมิตร ยอดเมือง) อยากให้คุณแก้มมาจัดรายการเรื่องหุ้นที่เนชั่น 90.5 แทนคุณยุทธนา กระบวนแสง ที่ถูกดึงไปทำทีวี เมื่อคิดถี่ถ้วน ก็ตัดสินใจไปทำ ซึ่งคุณแก้ม บอกว่า การตัดสินใจในครั้งนั้นถือเป็น “จุดเปลี่ยน” ชีวิตที่สุด นอกจากความรู้ และประสบการณ์ที่หาไม่ได้แล้ว คนฟังยังเยอะมาก จึงทำให้เป็นที่รู้จัก จนมีคนติดต่อให้ไปทำอะไรมากมาย หนึ่งในนั้นคือ การเป็นคอมเมนเตเตอร์รายการทีเด็ดลูกหนี้
“ลองทำครั้งแรก รู้สึกเลยว่าไม่ใช่เรา และเครียดมาก จนอยากเลิกทำ แต่อีกมุมก็ได้เห็นคนกว้างขึ้น และคนเหล่านี้ตั้งเงื่อนไขชีวิตเยอะ บางคนจะทำเฉพาะสิ่งที่ชอบ ซึ่งบางครั้งต้องทำในสิ่งที่ไม่ชอบบ้าง เพราะถ้าลองทำในสิ่งที่ชอบแล้วไม่สำเร็จ ก็ต้องหยุด เพราะความฝันที่ไม่มีทางเป็นจริง มันทำร้ายเรา ความฝันไม่ผิด แต่ถ้ามันเป็นจริงไม่ได้ แล้วเรายังอยู่กับมัน มันทำร้ายเรา” คุณแก้ม เล่าถึงประสบการณ์เป็นคอมเมนเตเตอร์
ส่วนที่มาของบริษัทเอเยนซี่พีอาร์ เกิดขึ้นเมื่อปี 2557 ตอนนั้นรู้สึกว่าการทำงานสื่อกินชีวิตส่วนตัวค่อนข้างมาก เพราะแทบไม่มีเวลาให้ลูกเลย วันเกิดลูกก็กลับไม่ทัน จึงมองว่าจะใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ได้แล้ว ผนวกกับช่วงนั้นคมชัดลึกมีโครงการ Early Retire เลยตัดสินใจลาออก จากนั้นมาทำงานที่บริษัท เอ็มที มัลติมีเดีย เก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้านพีอาร์อยู่ 7 ปี เมื่อคำนวณเงินเก็บ บวกกับยังจัดรายการวิทยุที่เนชั่น เขียนคอลัมน์ในคมชัดลึก และเริ่มทำทีเด็ดลูกหนี้ เลยตัดสินใจลาออกและมาเปิดบริษัทเอเยนซี่พีอาร์กับสามีในชื่อ ไอทูซี คอมมิวนิเคชั่นส์
“6 เดือนแรกไม่มีลูกค้าเลย รายได้บริษัทเป็นศูนย์ กระทั่งลูกค้ารายแรกเข้ามา และค่อยๆ เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ปัจจุบันมีลูกค้ารีเทนเนอร์ 5 ราย คือ TWZ, KTIS, CPL, ซาบีน่า และดุสิตธานี บริการหรือหน้าที่หลักคือ IR หรือสื่อสารด้านลงทุนสัมพันธ์ ทั้งยังทำแคมเปญหุ้นกู้ให้กับบริษัทต่างๆอีกด้วย”
ชีวิตไม่เคยได้เลือก สู่ ชีวิตที่เลือกได้เอง
คุณแก้ม บอกว่า เส้นทางชีวิตที่ผ่านมาไม่ได้เป็นคนเลือกเอง เมื่อผันตัวมาทำธุรกิจเอเยนซี่พีอาร์ ทำให้อยากเลือกชีวิตได้เอง ทำให้บริษัทไม่เน้นลูกค้าจำนวนมาก แต่อยากได้ลูกค้าที่มีสไตล์การทำงานเหมือนกัน แต่ก็ยอมรับว่าไม่ง่าย อีกทั้งการแข่งขันก็รุนแรงมาก แต่จุดแข็งที่ทำให้บริษัทเอเยนซี่พีอาร์เล็กๆ แห่งนี้อยู่ได้มาถึงทุกวันก็คือ ความเชี่ยวชาญ บวกกับสไตล์การเขียนไม่เหมือนใคร และความเร็วในการทำงาน
“พี่เป็นคนจนและลำบากมาก่อน ทำให้พี่ต้องอดทนมากกว่าคนอื่น และทำทุกอย่าง ไม่เลือกงานเลย เพื่อวันหนึ่งเราจะเลือกได้ว่าจะทำงานกับใคร จะเอาเงินคนนี้ไหม หรือไม่เอาเงินคนไหน แต่กว่าจะเลือกได้ ต้องใช้เวลาและผ่านกระบวนการต่างๆ มาเยอะ ดังนั้น เวลาเลือกงาน จะเลือกทำในสิ่งที่ถนัด ส่วนสิ่งที่ไม่ถนัด ถ้ายากหรือเหนื่อยเกิน ทำมากแล้วได้น้อยก็ไม่ทำ”
หลายคนคงคิดว่าการเลือกทำเฉพาะสิ่งที่ตัวเองถนัด จะพัฒนาตัวเองได้อย่างไร แต่คุณแก้ม มองว่า ทุกช่วงชีวิตไม่จำเป็นต้องท้าทาย การทำอะไรยากๆ ต้องอยู่ในช่วงชีวิตต้นๆ ซึ่งเธอทำมาแล้ว ดังนั้น ช่วงที่ชีวิตอายุมากขึ้น จึงควรทำงานแบบที่อยากทำ และทำน้อยได้มาก โดยเอา “คุณค่า” ที่สะสมมาทั้งชีวิตมาสร้าง “มูลค่า” เพิ่ม
“ช่วงชีวิตที่ควรทำน้อยได้มาก ต้องเป็นช่วงที่ชีวิตตื่นขึ้นมาแล้วไม่ต้องดิ้นรน หาเงินมาผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ผ่อนบัตรเครดิต ซึ่งแต่ละคนไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับการใช้ชีวิต ใช้ชีวิตมาแบบไหนก็ได้แบบนั้น ทุกวันที่ใช้ชีวิตจึงสำคัญหมด แต่สิ่งสำคัญ อย่าทำน้อยได้มากตั้งแต่ชีวิตยังไม่มีอะไรเลย”
“คาถา 3 ทำ” หลักบริหารงานและชีวิต
นอกจากธุรกิจพีอาร์เอเยนซี่ คุณแก้มยังทำเพจหนีงานมารีวิวซีรี่ส์ด้วย โดยจุดเริ่มต้นของเพจเกิดจากการอยากทำสิ่งใหม่ที่ไม่เคยทำ ในช่วงโควิด ซึ่งเป็นช่วงที่เงียบมาก ด้วยความไม่เคยดูซีรี่ส์ ไม่ชอบเข้าโรงหนังเพราะรู้สึกเสียเวลา จึงลองดูซีรี่ส์ พอดูเรื่องแรกก็รู้สึกดี บวกกับชอบคิด ชอบเขียน ก็เริ่มเขียนลง Facebook ส่วนตัว ปรากฏว่าคนที่ติดตามชอบและถามว่าเปิดเพจมั้ย แต่ก็ไม่เปิดเพราะรู้สึกว่ารู้แค่ผิวๆ กระทั่งน้องผู้กำกับรายการทีเด็ดลูกหนี้ ซึ่งติดตามเพจซีรี่ส์ต่างๆ ได้มาอ่าน จึงถามว่าลองเปิดเพจมั้ย? เพราะเนื้อหาต่างจากเพจอื่นคือ ไม่ได้ลึกเกินไปหรือเบาหวิวไม่มีอะไรเลย ทั้งยังให้แง่คิดในมุมของผู้ใหญ่ เลยตัดสินใจเปิด “เพจหนีงานมารีวิวซีรีส์” จากคนกันเองอ่านก็เริ่มมีคนหลากหลายเข้ามาอ่าน ปัจจุบันมีคนติดตาม 23,000 Followers
“ชีวิตพี่มี 3 อย่างคือ ต้องทำ ควรทำ และอยากทำ สำหรับธุรกิจเอเยนซี่พีอาร์เป็นสิ่งที่ต้องทำ เพราะคือรายได้เลี้ยงชีพ ส่วนคอมเมนเตเตอร์เป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะเป็นโอกาสในการใช้ความรู้ความสามารถส่งต่อคุณค่าให้กับคนอื่น ขณะที่การทำเพจเป็นสิ่งที่อยากทำ เพราะทำแล้วมีความสุข แม้จะไม่ได้สร้างรายได้ก็ไม่เป็นไร”
ถึงวันนี้จะทำงานมาหลายอย่าง และทำทุกอย่างได้ดี แต่ความสำเร็จในภาพใหญ่สำหรับคุณแก้มยังไม่มี เพราะการคอมเมนเตเตอร์รายการทีเด็ดลูกหนี้ แม้จะทำให้คนยอมรับและจดจำชื่อของเธอได้มากขึ้น แต่เมื่อออกจากตรงนั้น เขาก็จำเราไม่ได้ จึงมองเป็นแค่ความสำเร็จเป็นเรื่องๆ เท่านั้น ส่วนตัวจึงชอบความสำเร็จเล็กๆ ในแต่ละวัน ถึงไม่ใช่สิ่งที่ยิ่งใหญ่ แต่ทำให้ชูใจว่าทำได้
และเมื่อถามถึงสิ่งที่อยากทำหลังจากนี้ คุณแก้มบอกว่าไม่เคยมีความฝัน หรือเป้าหมาย ชอบใช้ชีวิตไปตามจังหวะ และทำแต่ละจังหวะที่เข้ามาให้เต็มที่ ที่สำคัญต้อง “เก่ง” ในเรื่องที่ทำ ถึงวันนี้ไม่เก่ง ก็ฝึกได้ โดยทำให้มาก และไม่ท้อ ก็จะเก่งขึ้นได้ แต่เมื่อเก่งแล้วต้องอย่า “โอหัง” และ “ประมาท”
เทคนิคเด็ดออมเงิน : “พรุ่งนี้ก็ตาย และ พรุ่งนี้ก็ไม่ตาย”
แม้จะคลุกคลีอยู่ในแวดวงการเงิน หุ้น และลูกหนี้มานาน แต่ในวันที่เงินเดือน 4,500 บาท คุณแก้ม ยอมรับว่า ใช้อย่างไรก็ไม่พอเช่นกัน ยังต้องขอแม่ จากนั้นประมาณ 1 ปี พอปรับเงินเดือนเป็น 11,000 บาท ก็เริ่มมีเงินเหลือเก็บ ซึ่งเทคนิคเก็บเงินแบบง่ายๆ ของคุณแก้มคือ รายได้เท่าไหร่ หัก 10% ไว้ออม จากนั้นเหลือเท่าไหร่ ก็ใช้เท่าที่มี จึงทำให้มีเงินเก็บมาตลอด และช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ยังสามารถผ่อนบ้านผ่อนรถต่อได้
โดยสูตรนี้ คุณแก้มบอกว่าสามารถนำไปใช้ได้ทุกยุคสมัยเลย แต่ก็ยอมรับว่า เศรษฐกิจในปัจจุบันไม่เหมือนกับสมัยก่อน แม้เด็กรุ่นใหม่จะไม่ฟุ้งเฟ้อ แต่รายได้ก็ไม่สัมพันธ์กับรายจ่าย ยิ่งในช่วงโควิด จากคนที่เคยมีรายได้สูง อยู่ๆ ก็ตกงาน รายได้หายวับไปทันที ดังนั้น เมื่อคุมรายได้ไม่ได้ หัวใจสำคัญของการบริหารเงินจึงอยู่ที่การคุมรายจ่ายให้ได้ ซึ่งวิธีที่คุณแก้มนิยมใช้คือ หลักใช้เงิน 10% คือ มีเงินอยู่เท่าไหร่ ใช้แค่ 10% เช่น มีเงิน 5,000 บาท ใช้แค่ 500 บาท หรือมีเงิน 100,000 บาท ใช้แค่ 10,000 บาท เพราะจะรู้สึกไม่กระทบ
ควบคู่ไปกับใช้ชีวิตแบบแนวคิด “พรุ่งนี้ก็ตาย และ พรุ่งนี้ก็ไม่ตาย” ซึ่งจะช่วยให้รู้ว่าวันนี้ต้องทำอะไรและไม่ทำอะไรจนเกิดหนี้ เช่น อยากกินสตาร์บัคสักแก้ว เพราะเดี๋ยวพรุ่งนี้ตายแล้วไม่ได้กิน แต่ถ้าวันนี้ไม่กิน และพรุ่งนี้ไม่ตาย ก็จะมีเงินเหลือ ชีวิตก็จะมีความสุข และได้กินสตาร์บัค แต่ถ้าวันนี้กินสตาร์บัคแล้วเงินไม่เหลือ และพรุ่งนี้ก็ไม่ตาย เราก็ต้องไม่กิน
“เราต้องลดความอยากลง โลกวุ่นวายเพราะเราอยาก เราต้องถ่วงใจ ซึ่งจะช่วยให้ความอยากลดลง และกลับมาคิดว่าอยากได้จริงไหม ที่สำคัญอย่าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่นว่าเขามีแบบนี้ ต้องมีเหมือนเขา เราต้องมองที่ความเป็นจริงว่าเราทำได้แค่ไหน ไม่อย่างนั้นก็จะเกิดหนี้”
ปัญหาหนี้และความจน เพราะคนไทย “ขาดความรู้”
โดยในมุมมองคุณแก้ม หนี้ที่น่ากลัวที่สุดคือ หนี้ที่ไม่มีปัญญาจ่าย ไม่ว่าจะเป็นหนี้บ้าน หนี้รถ หนี้บัตรเครดิต เพราะผลกระทบที่ตามมาเท่ากันหมด ซึ่งสาเหตุที่ทำให้คนไทยเป็นหนี้กันเยอะ เพราะ “ความรู้” การเงินเข้าไม่ถึงคน ทำให้คนไทยขาดความรู้ จึงไม่ได้แบ่งสัดส่วนการออม และการใช้เงินอย่างถูกต้อง รวมทั้งไม่มีที่ปรึกษาที่มีความรู้คุยด้วย ขณะเดียวกันเมื่อมีความรู้แล้ว ต้องมีวินัยในการใช้เงินด้วย ถึงจะรอด
“ระหว่างคนมีรายได้ 50,000 บาท กับ 10,000 บาท ใครรวยกว่ากัน คนส่วนใหญ่จะบอกว่าคนมีรายได้ 50,000 บาท รวยกว่า แต่ถ้าคนมีรายได้ 50,000 บาท ใช้เดือนละ 100,000 บาท ส่วนคนมีรายได้ 10,000 บาท ใช้เดือนละ 5,000 บาท ใครรวยกว่า ยุคนี้จึงวัดที่รายได้ไม่ได้ ถ้าทำให้คนไทยมีรายได้เพิ่มขึ้นแต่ใช้จ่ายหนักกว่าเดิม มันก็เกิดหนี้เหมือนเดิม”
ส่วนเงินที่ออมไว้ 10% นั้น คุณแก้มแนะให้เก็บสะสมจนเต็มแก้ว สมัยก่อนเต็มแก้วคือ 6 เดือน จากนั้นค่อยนำไปลงทุนให้เพิ่มขึ้น แต่ถ้ายังไม่เต็มแก้ว อย่าทำอะไรกับเงินก้อนนี้ ที่ต้องเป็น 6 เดือน เพราะหากไม่มีรายได้ 6 เดือน ให้นำเงินก้อนนี้ไปเลี้ยงชีพ เพราะหลังจาก 6 เดือนควรจะมีน้ำเติม แต่พอโควิด ทำให้รู้ว่า 6 เดือนก็ยังเติมน้ำไม่ได้ อย่างน้อย 1 ปี ถึงปีครึ่งทีเดียว
คุณแก้ม ยอมรับว่า ทุกวิกฤตในโลกมาจากหนี้ทั้งสิ้น ตอนปี 2540 มาจากหนี้ต่างประเทศของภาคเอกชน ส่วน Hamburger Crisis มาจากหนี้ภาคอสังหาฯ ส่วนวิกฤตรอบนี้มาจากหนี้ครัวเรือน ก็ต้องรอดูว่าความบวมของหนี้จะปะทุแค่ไหน แต่ข้อดีคือ แบงก์มีความเข้มแข็งขึ้นเพราะมีบทเรียน ดังนั้น เศรษฐกิจตอนนี้จึงไม่ได้แย่ แต่ไม่ดีมาก “การประหยัดค่าใช้จ่าย” จึงเป็นวิธีการประคองตัวในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ได้ดีที่สุด ซึ่งคุณแก้มเองก็นำวิธีนี้มาใช้กับบริษัท และตัวเธอเช่นกัน
Photo : Number 24 x Shutterstock Thailand
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE