HomeBrand Move !!สิงคโปร์ออกกฎ “ธนาคาร-บ.โทรคมนาคม” ร่วมรับผิด กรณีมิจฉาชีพออนไลน์หลอกดูดเงิน

สิงคโปร์ออกกฎ “ธนาคาร-บ.โทรคมนาคม” ร่วมรับผิด กรณีมิจฉาชีพออนไลน์หลอกดูดเงิน

แชร์ :

shutterstock_singapore

รัฐบาลสิงคโปร์เตรียมออกกฎให้สถาบันการเงิน – บริษัทโทรคมนาคม ร่วมกันรับผิดชอบ “ค่าเสียหาย” หากผู้ใช้บริการถูกมิจฉาชีพออนไลน์หลอกลวง มีผลบังคับใช้ 16 ธันวาคมนี้

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

สำหรับที่มาของนโยบายดังกล่าว พบว่ามาจากการที่รัฐบาลสิงคโปร์ต้องการลดจำนวนผู้เสียหายจากมิจฉาชีพออนไลน์ลง โดยหน่วยงานที่ออกมาแถลงมาตรการดังกล่าวคือ สำนักงานการเงินสิงคโปร์ (MAS) พร้อมระบุว่า นี่เป็นหนึ่งในมาตรการใหม่ที่ประกาศใช้เพื่อต่อต้านกลลวงฟิชชิ่งที่อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นในระบบธนาคารและการชำระเงินดิจิทัลของสิงคโปร์นั่นเอง

สิ่งที่ตามมาจากการประกาศดังกล่าวคือกรอบความรับผิดชอบร่วมกัน หรือ Shared Responsibility Framework (SRF) ฉบับสมบูรณ์สำหรับ Phishing Scams ซึ่งทางสื่อสิงคโปร์อย่าง The Strait Times ระบุว่า เป็นส่วนเสริมของมาตรการที่มีอยู่แล้วของประเทศ โดยสถาบันการเงินของสิงคโปร์มีเวลา 6 เดือนนับจากวันที่ 16 ธันวาคม 2567 ในการปรับใช้มาตรการดังกล่าว ซึ่ง SRF ฉบับสมบูรณ์นี้ ระบุว่า สถาบันการเงินและบริษัทโทรคมนาคมต้องร่วมกันรับผิดชอบความสูญเสียของเหยื่อจากกลลวงฟิชชิ่ง

อย่างไรก็ดี ก่อนจะเข้ารับผิดชอบค่าเสียหาย SRF ได้กำหนดขั้นตอนในการตรวจสอบด้วยว่า สถาบันการเงิน และบริษัทโทรคมนาคมได้ทำตามข้อกำหนดที่วางไว้แล้วหรือยัง (สถาบันการเงินมีข้อกำหนด 5 ข้อ และบริษัทโทรคมนาคมมีข้อกำหนด 3 ข้อ) ซึ่งหาก สถาบันการเงิน และบริษัทโทรคมนาคมทำตามข้อกำหนดของ SRF แล้ว ผู้บริโภคจะเป็นฝ่ายรับผิดชอบความสูญเสียทั้งหมด

ทั้งนี้ สิงคโปร์มองว่า กรอบ SRF ที่ประกาศออกมานั้น เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการปกป้องผู้ใช้บริการจากการสูญเสียเงินจำนวนมากโดยไม่ได้สมัครใจ และสามารถช่วยลดความยุ่งยากของผู้บริโภคในการขอคืนเงินลงได้ และก็ยอมรับว่า ลูกค้าบางรายอาจไม่พอใจนักกับมาตรการนี้ เพราะจะทำให้ความสะดวกสบายในการโอนเงินลดลง

Technology concept with cyber security internet and networking, Businessman hand working on laptop, screen padlock icon on digital display.

จำกัดความรับผิดบน Digital Platform เท่านั้น

ในส่วนของขอบเขตความรับผิดชอบที่ SRF รองรับพบว่าต้องอยู่บน Digital Platform เท่านั้น เช่น กรณีการสร้างเว็บไซต์ปลอมเป็นธุรกิจที่ให้บริการอยู่ในสิงคโปร์ และส่งลิงค์มาหลอกให้เหยื่อเข้าไปป้อนข้อมูลต่าง ๆ (ต้องเป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในสิงคโปร์ หรือเปิดให้บริการแก่พลเมืองสิงคโปร์เท่านั้น)

สำหรับสถาบันการเงิน และผู้ให้บริการด้านการเงินที่เข้าข่ายต้องปฏิบัติตามกรอบ SRF นี้ มีตั้งแต่ DBS Bank, UOB, OCBC Bank, Citibank รวมถึงผู้ให้บริการ E-Wallet เช่น Grab, YouTrip ด้วย

กรอบ SRF ยังคาดหวังให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการด้านการชำระเงินต้องส่งแจ้งเตือน (แบบเรียลไทม์) ในกรณีที่ผู้ใช้งานมีพฤติกรรมเสี่ยงด้วย เช่น มีการเพิ่มวงเงินในการทำธุรกรรม หรือการเปลี่ยนแปลงข้อมูลส่วนตัว หรือมีการล็อกอินในอุปกรณ์ใหม่ เป็นต้น

ในส่วนของบริษัทโทรคมนาคมของสิงคโปร์ที่เข้าข่ายต้องปฏิบัติตามกรอบ SRF พบว่ามี 4 รายได้แก่ Singtel, StarHub, M1 และ Simba Telecom โดยสิ่งที่คาดหวังมีตั้งแต่ การกรอง SMS ที่จะส่งไปยังผู้รับปลายทาง ว่าต้องมาจากผู้ส่งที่เชื่อถือได้ เพื่อให้มั่นใจว่า SMS เหล่านั้น ไม่ได้ใส่ phishing links (ลิงค์ที่พาไปยังเว็บไซต์ของอาชญากร) ฯลฯ

ทั้งนี้ หากสถาบันการเงินและบริษัทโทรคมนาคมสามารถพิสูจน์ได้ว่า ตนเองได้ทำตามกรอบของ SRF ทั้งหมดแล้ว ผู้บริโภคจะต้องเป็นฝ่ายรับความสูญเสียเหล่านั้นเองทั้งหมด

นอกจากสิงคโปร์ ปัจจุบันมีหลายประเทศที่เริ่มใช้มาตรการคล้าย ๆ กันในการจัดการกับปัญหามิจฉาชีพออนไลน์ เช่น สหภาพยุโรป (ที่อาจมีการคืนเงินให้กับเหยื่อ), ออสเตรเลีย และอังกฤษ

จากมาตรการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า ไม่เฉพาะคนไทยที่ต้องเผชิญกับมิจฉาชีพออนไลน์ถี่ขึ้น สถานการณ์การฉ้อโกงในสิงคโปร์ก็เลวร้ายไม่แพ้กัน โดยข้อมูลจากตำรวจสิงคโปร์ ที่เปิดเผยออกมายังพบด้วยว่า ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2024 มีจำนวนคดีฉ้อโกงออนไลน์เพิ่มขึ้น 16.3% และเหยื่อต้องสูญเสียเงินสูงสุดเป็นประวัติการณ์กว่า 385.6 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งหากแนวโน้มนี้ยังคงดำเนินต่อไป การสูญเสียนี้อาจมีมูลค่าเกินกว่า 770 ล้านเหรียญสหรัฐ (ภายในสิ้นปี 2024) ก็เป็นได้

Source

Source


แชร์ :

You may also like