HomeBrand Move !!ตลาดสินค้าแบรนด์หรูหดตัว 15% เทรนด์ใหม่วัยรุ่นจีน จ่ายเงินซื้อประสบการณ์แทนแบรนด์เนม

ตลาดสินค้าแบรนด์หรูหดตัว 15% เทรนด์ใหม่วัยรุ่นจีน จ่ายเงินซื้อประสบการณ์แทนแบรนด์เนม

แชร์ :

ตลาด

การที่ร้านระดับ Flagship Store ของ Louis Vuitton ที่ผู้บริหารอย่าง Bernard Arnault เคยให้คำมั่นว่าจะเปิดตัวในจีนแผ่นดินใหญ่ช่วงกลางปี 2024  แต่ปัจจุบันก็ยังไม่สามารถเปิดตัวได้ อาจเป็นการส่งสัญญาณบางอย่างไปยังนักลงทุนในซีกโลกตะวันตกให้ได้สั่นสะเทือนกันบ้างแล้ว

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

โดยเฉพาะนักลงทุนที่ถือหุ้นแบรนด์หรูอย่าง LVMH เห็นได้จากยอดขายที่เคยทำได้อู้ฟู่ในช่วงปี 2011 – 2021 มาวันนี้ สัญญาณที่เคยบวกอาจไม่เป็นดังคาด เพราะมูลค่าหุ้นของกลุ่ม LVMH ได้ปรับตัวลดลง 3% ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา พร้อม ๆ กับอันดับความมั่งคั่งของมหาเศรษฐี Bernard Arnault ผู้ถือหุ้นใหญ่ที่เคยครองตำแหน่งมหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกเมื่อปี 2023 ตามการจัดอันดับของ Bloomberg Billionaire Index มาวันนี้ เขาได้หล่นลงมาอยู่ในอันดับ 5 แล้วเป็นที่เรียบร้อย

หมายเหตุ /// อันดับมหาเศรษฐีในปัจจุบัน (อ้างอิงจาก Bloomberg Billionaires Index)

  1. Elon Musk มีทรัพย์สิน 262,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
  2. Jeff Bezos มีทรัพย์สิน 220,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
  3. Mark Zuckerberg มีทรัพย์สิน 201,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
  4. Larry Ellison มีทรัพย์สิน 182,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
  5. Bernard Arnault มีทรัพย์สิน 177,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

จีนรุ่นใหม่จ่ายเพื่อ “ประสบการณ์”

ข้อมูลจากบริษัทที่ปรึกษา Digital Luxury Group ระบุว่า ตลาดสินค้าลักชัวรีของจีนในปีนี้คาดว่าจะหดตัวลงประมาณ 15% โดยส่วนหนึ่งมาจากนโยบายของรัฐบาลที่หันมาปราบปรามการคอรัปชันของเจ้าหน้าที่รัฐ รวมถึงการสนับสนุนให้เกิดการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม และการที่ผู้บริโภครุ่นใหม่ของจีนปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้เงิน จากการซื้อสินค้าราคาแพงเพื่อให้ตนเองมีสถานะทางสังคม เป็นการใช้เงินเพื่อซื้อประสบการณ์ เช่น การท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ แทน

การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจึงส่งผลอย่างมากต่อ LVMH เจ้าของแบรนด์หรูที่ครั้งหนึ่งเคยทำรายได้จากตลาดจีนในช่วงปี 2011 – 2021 ไปได้ถึง 471,000 ล้านหยวน หรือประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท (อ้างอิงจาก Bain & Co.)

LVMH รายได้ลด 16%

ทั้งนี้ อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ทำให้ทุกคนให้ความสนใจก็คือการเปิดตัวเลขผลประกอบการไตรมาส 3 ของปี 2024 ที่พบว่า รายได้ของ LVMH จากกลุ่มประเทศเอเชียไม่รวมญี่ปุ่นได้ปรับตัวลดลง 16% และมีสัดส่วนเหลือเพียง 29% ของรายได้รวมทั้งหมดของบริษัท (ตัวเลขรวม 9 เดือน จากมกราคม – กันยายน) เมื่อเทียบกับในปี 2023 ที่เคยมีสัดส่วนถึง 33% ของรายได้ทั้งหมด (ไม่เฉพาะ LVMH แบรนด์เครื่องสำอางระดับบนอย่าง Estée Lauder ก็มียอดขายลดลงถึง 2 Digits ในช่วงไตรมาส 3 นี้ด้วยเช่นกัน)

จากสถานการณ์ดังกล่าว ทางผู้บริหาร LVMH ให้ความเห็นว่ามาจากเศรษฐกิจของจีนที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง พร้อมอ้างถึงวิกฤตหนี้ในภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ ที่ทำให้การบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยของชาวจีนลดลง

สินค้าฟุ่มเฟือยมีบริบทที่เปลี่ยนไป

อย่างไรก็ดี บริษัทที่ปรึกษา Luxurynsight มีการเปิดเผยข้อมูลว่า ผู้บริโภคจีนมองสินค้าแบรนด์เนมจากชาติตะวันตกต่างไปจากเดิม โดยพวกเขารู้สึกว่า มันไม่น่าซื้อหามาครอบครองเท่ากับเมื่อ 12 เดือนก่อนหน้านี้อีกแล้ว

และถึงแม้ว่าเศรษฐกิจจีนจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ข้อมูลจากอีกหนึ่งบริษัทที่ปรึกษา BrighterBeauty ก็พบว่า คนจีนรุ่นใหม่ไม่ได้ต้องการสินค้าแบรนด์เนมมาเป็นเครื่องบ่งบอกสถานะทางสังคมแล้วเช่นกัน หากแต่เป็นการลงทุนพัฒนาตัวเอง การลงทุนเพื่อสร้างสุขภาพ และการลงทุนซื้อประสบการณ์ ที่จะเป็นเทรนด์ที่คนจีนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญมากกว่า

Jessica Gleeson ซีอีโอของ BrighterBeauty ยังกล่าวด้วยว่า คนจีนรุ่นใหม่จะไม่มีวันหันกลับไปหาเทรนด์เก่า ๆ อย่างการสะสมสินค้าแบรนด์เนมอีกต่อไปแล้ว

วัดฝีมือการเจาะตลาดใหม่

ทั้งนี้ หนึ่งในกลยุทธ์ที่แบรนด์ลักชัวรีอาจทำได้ก็คือการเจาะไปยังหัวเมืองชั้น 2 และหัวเมืองชั้น 3 ของจีน ซึ่งกระแสความนิยมในสินค้าลักชัวรีอาจยังไปต่อได้ หรือการนำเสนอสินค้าที่มีการออกแบบอย่างเรียบง่าย เพื่อลดทอนไม่ให้เกิด Luxury shame ในหมู่ผู้ซื้อ ตลอดจนการควบคุมเรื่องการปรับลดราคาสินค้าของทางแบรนด์เอง เพื่อไม่ให้ผู้บริโภคเกิดความรู้สึกว่า สินค้าลักชัวรีเหล่านั้นต้องลดราคาเพื่อความอยู่รอด

จะเห็นได้ว่า สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการวัดฝีมือว่า LVMH จะหาบ่อน้ำบ่อใหม่เจอหรือไม่ เพราะหากหาเจอ ก็เชื่อว่าจะผลักดันให้ธุรกิจสินค้าลักชัวรีของบริษัทยังคงสร้างรายได้ขึ้นมาตอบโจทย์นักลงทุนต่อไปนั่นเอง

Source

Source

Source

Source


แชร์ :

You may also like