แนวโน้มเศรษฐกิจโลกส่งสัญญาณบวก “ไทยยูเนี่ยน” หรือ TU เดินหน้ากลยุทธ์ Strategy 2030 กางโร้ดแม็ปใหม่เพื่อสร้างการเติบโตครั้งสำคัญครอบคลุมทุกมิติ ชู 2 โปรเจกต์ทรานส์ฟอร์เมชั่นแห่งปี “โซนาร์-เทลวินด์” มุ่งสร้างการเติบโตระยะยาว และเสริมแกร่งธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง โดยตั้งเป้าหมายทำยอดขายสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 2.45 แสนล้านบาท (หรือ 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) และเพิ่มกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เป็นสองเท่า หรือ 24,500–28,000 ล้านบาท ในปี 2573
คุณธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “โลกทุกวันนี้เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ตั้งแต่ผลกระทบจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ไปจนถึงความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทุกความท้าทายนำมาซึ่งโอกาส การเติบโตในโลกยุคใหม่ ไม่ใช่แค่การปรับตัว แต่ต้องก้าวพ้นกระแสแห่งความผันผวนนี้ในขณะที่โลกกำลังฟื้นตัวจากผลกระทบและวิกฤตเศรษฐกิจตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทมองเห็นสัญญาณเชิงบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 2025 ไม่ว่าจะเป็น อัตราดอกเบี้ยลดลง และจะลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงเรื่องเงินเฟ้อก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคฟื้นคืนกลับมา”
จึงได้กำหนดแผนธุรกิจ Strategy 2030 หรือ กลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 ในการสร้างการเติบโตและการเสริมแกร่งธุรกิจหลักในการสร้างโอกาสบริษัท ไม่ว่าจะเป็น การสร้างการเติบโตในกลุ่มอาหารทะเลแปรรูป อาหารแช่เย็น และอาหารสัตว์เลี้ยง ตลอดจนการมองหาโอกาสใหม่ ๆ เพื่อสร้างกระแสเงินสดในการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพต่อไป
โดยมี 3 แกนหลักสำคัญที่เสริมสร้างความสามารถทางการแข่งขันของธุรกิจเดิม และธุรกิจใหม่ ตลอดจนการควบรวมกิจการ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนระยะยาว ประกอบด้วย
- เสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจหลัก: ได้แก่ อาหารทะเลแปรรูป อาหารแช่เย็น และอาหารสัตว์ เพื่อสร้างกระแสเงินสดที่จำเป็นสำหรับการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตใหม่ ๆ
- สร้างคลื่นลูกใหม่ของการเติบโต: มุ่งเน้นกลุ่มธุรกิจที่เติบโตเร็ว เช่น อาหารสัตว์เลี้ยง อาหารแช่แข็ง อาหารพร้อมทาน และอินกรีเดียนท์ ซึ่งไทยยูเนี่ยนเชื่อว่าจะยังคงขับเคลื่อนการเติบโตของผลกำไรได้อย่างต่อเนื่อง
- การเปิดน่านน้ำใหม่: มุ่งเน้นการแสวงหาไอเดียและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และโปรตีนทางเลือก เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของไทยยูเนี่ยนในอนาคต
อย่างไรก็ตามท่ามกลางการดำเนินงานในโลกยุคใหม่ ที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป บริษัทยังคงเน้นการดำเนินงานด้านต่าง ๆ ตามความต้องการของผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางผ่าน Customer Centric เป็นหลัก ควบคู่กับการปรับการทำงานในเชิงลึกมากขึ้น ในการสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจหลักควบคู่ไปกับมองหาการควบรวมกิจการเพิ่มแหล่งรายได้ใหม่ เช่น การลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ และโปรตีนทางเลือก โดยภาพรวมการลงทุนทั้งหมดบริษัทได้วางงบประมาณไว้ที่ 5,000 ล้านบาทต่อปี
ชู 2 โปรเจกต์ทรานส์ฟอร์เมชั่นแห่งปี “โซนาร์-เทลวินด์” เสริมแกร่งธุรกิจ
คุณพอล เฮอร์โฮลซ์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายกลยุทธ์และทรานส์ฟอร์เมชั่น บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า “กลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 ที่ประกอบด้วย 3 แกนหลัก เป็นปัจจัยสำคัญที่จะเร่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ด้วยโอกาสการเติบโตทั้งจากธุรกิจในปัจจุบัน และธุรกิจใหม่ ๆ รวมถึงการควบรวมกิจการ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายสู่ความสำเร็จในอีก 6 ปีข้างหน้า ซึ่งต้องวางรากฐานที่แข็งแกร่ง ภายใต้ยุทธศาสตร์การเติบโต Strategy 2030 มี โปรเจกต์ทรานส์ฟอร์เมชั่น 2 โปรเจกต์สำคัญ ประกอบด้วย
1.โปรเจกต์โซนาร์ (Project Sonar) โครงการทรานส์ฟอร์เมชั่นของกลุ่มบริษัท มุ่งวางรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการเติบโตในระยะยาว โดยตั้งเป้าลดต้นทุนเฉลี่ยปีละ 2,625 ล้านบาท (หรือ 75 ล้านเหรียญสหรัฐ) ตั้งแต่ปี 2026 เป็นต้นไป มีเป้าหมายที่จะสร้างรูปแบบการดำเนินงานที่แข็งแกร่งสอดคล้องกับกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 สร้างขีดความสามารถด้านการจัดซื้อและเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานให้เกิดประโยชน์สูงสุด2.โปรเจกต์เทลวินด์ (Project Tailwind) มุ่งเน้นที่การเร่งการเติบโตในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยงเป็นหลัก โดยตั้งเป้าเพิ่มกำไรจากการดำเนินงานปีละ 1,750 ล้านบาท (หรือ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ) ตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป ซึ่งกุญแจสู่สำเร็จ คือ ความเชี่ยวชาญทางธุรกิจและความเข้าใจอย่างลึกซึ้งต่อตลาด รู้ลึก รู้จริงถึงความต้องการของลูกค้า ควบคู่กับการสร้างขีดความสามารถใหม่ ๆ ของธุรกิจในปัจจุบัน โดยเฉพาะในบริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จะมุ่งสร้างการเติบโตจากการควบรวมกิจการ โดยมีเป้าหมายที่จะเพิ่มรายได้สามเท่าอยู่ที่ประมาณ 52,500 ล้านบาท (1,500 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในปี 2573
ปัจจุบันไทยยูเนี่ยนได้เริ่มต้นดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมาย ตามกลยุทธ์เพื่อมุ่งสู่ปี 2573 รวมถึงโครงการทรานส์ฟอร์มเมชั่นทั้งสองโครงการ ผ่านโครงการสำคัญ ๆ เช่น การจัดตั้ง ศูนย์นวัตกรรมแห่งใหม่ในประเทศเนเธอร์แลนด์ การเพิ่มการลงทุนด้านการส่งเสริมการตลาดเพื่อคงความเป็นผู้นำแบรนด์อาหารทะเลแปรรูปชั้นนำของโลกหลากหลายแบรนด์ของกลุ่มบริษัทอย่างต่อเนื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านการผลิต การขยายทีมและยกระดับขีดความสามารถทางดิจิทัลของกลุ่มบริษัททั่วโลก เป็นต้นทั้งหมดเพื่อบรรลุเป้าหมายยอดขาย 2.45 แสนล้านบาท (7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ) และเพิ่ม EBITDA เป็นสองเท่า หรือ 24,500-28,000 ล้านบาทภายในปี 2030 หรืออีก 6 ปีข้างหน้า ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการเติบโตภายใต้แนวทางที่ยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคตและตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำระดับโลกในกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการเพื่อสุขภาพจากท้องทะเล