ในยุคที่ธุรกิจร้านอาหารมูลค่าหลายแสนล้านบาทมีการแข่งขันที่สูง โดยเฉพาะหลังการเข้ามาของแบรนด์ดังทั้งไทยและต่างชาติจำนวนมาก ส่งผลให้อุตสาหกรรมมีการช่วงชิงจังหวะและโอกาสทางการตลาดมากขึ้น ส่งผลให้ทำเลทองอย่าง “ศูนย์การค้า” เป็นที่ต้องการของร้านค้าส่วนใหญ่เริ่มหายากมากขึ้น และเมื่อรวมกับสถานการณ์ความผันผวนด้านต้นทุน กำลังซื้อ ทำให้แต่ละแบรนด์ต้องหายุทธศาสตร์ที่เหมาะสมเพื่อเพิ่มทางรอดและสร้างโอกาสทางการเติบโต
“มากุโระ กรุ๊ป”(MAGURO Group) คือหนึ่งในแบรนด์ที่ต้องเผชิญสถานการณ์ความผันผวนดังกล่าว ทำให้ตลอดช่วงที่ผ่านมา ทางแบรนด์พยายามปรับกลยุทธ์และเร่งเครื่องกิจกรรมทางการตลาดให้สอดคล้องกับสถานการณ์ให้มากที่สุด
โปรเจกต์ The Flavorhood คือโมเดลน้องใหม่รูปแบบ Stand Alone ของทาง MAGURO ที่พัฒนาขึ้นมาด้วยต้องการแก้ Pain Point เดิมของการดำเนินธุรกิจร้านอาหารในปัจจุบันว่า ไม่ว่าจะเป็น ลดปัญหาโลเคชันศูนย์การค้าที่ในเกรด A หรือ B ที่เร่ิมหายากมีการแข่งขันกันสูง มีค่าเช่าและค่า GP ค่าค่อนข้างสูง ซึ่งการเปิดโมเดลนี้ในระยะยาวจะเป็นการลงทุนที่น้อยกว่า 2-3 เท่าตัว และสามารถคืนได้ใน 1.5-2 ปี
The Flavorhood ประดิษฐ์มนูธรรม จึงเกิดขึ้นเป็นสาขาแรกที่ทางแบรนด์เลือกปักหมุด ด้วยงบประมาณการลงทุนกว่า 70 ล้านบาท บนพื้นที่ 2 ไร่ เนื่องจากมองว่าเป็นทำเลศักยภาพ มีชุมขน หมู่บ้าน ออฟฟิศ อีกทั้งศักยภาพของกลุ่มลูกค้าในย่านนี้ที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ MAGURO และ HITORI SHABU
“นอกจากกำลังซื้อในย่านที่สูงแล้ว ตลอดถนนเส้นลาดพร้าว- ประดิษฐ์มนูธรรม-รามอินทรา เรายังไม่มีแบรนด์ของเราปักหมุดสาขาที่นี้เลย ประกอบกับพฤติกรรมของลูกค้ามีความต้องการในรูปแบบของร้านอาหารที่หลากหลาย จึงทำให้เราเลือกเปิดสาขาแห่งนี้เป็นที่แรกในย่านนี้ขึ้น” คุณเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO กล่าวว่า
ปั้น The Flavorhood ให้กลายเป็น “Destination” ใหม่ ของคนในย่าน
ด้วยคอนเซปต์ที่ต้องการพัฒนาพื้นที่ The Flavorhood เป็นมอลล์ด้านอาหารเล็กๆที่ตอบโจทย์คนใกล้บ้าน ซึ่งเป็นการถอดแนวคิดจากร้านประจำที่พ่อแม่เคยพาไปในสมัยเด็ก จนกลายเป็นร้านประจำของครอบครัว พัฒนาสู่มอลล์ที่มีแบรนด์ร้านอาหารให้เลือก มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตลอดจนพื้นที่วิ่งเล่น จอดรถ ที่ถูกดีไซน์ให้ความรู้สึกเมื่อเดินเข้ามาแล้วเหมือนหลุดมาอยู่ที่หมู่บ้านญี่ปุ่น เช่น ทางเดินเข้าที่สะท้อนถึงการเข้าหมู่บ้านญี่ปุ่น รวมถึงสวนในโครงการที่มีทั้งรูปแบบ Japanese Garden และ Modern Tropical Garden
คุณเอกฤกษ์ กล่าวอีกว่า “แม้เราจะมีโมเดล Stand Alone เข้ามา แต่ว่าโมเดลร้านในศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ต่างๆ เราก็ยังเดินหน้าขยายสาขาควบคู่กันต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า”
ทั้งหมดเพื่อทำให้ The Flavorhood กลายเป็นร้านอาหารประจำครอบครัวของคนในย่าน หรือ Food Destination ของคนบริเวณโซนนี้ ให้สามารถมาใช้บริการได้ง่าย โดยใช้เวลา 1-2 ชั่วโมงในการรับประทานแบบไม่ต้องฝ่ารถติดเข้าเมืองให้เสียเวลา
โดยจุดเด่นของโครงการจะเป็นการนำ 3 ร้านอาหารในเครือมาไว้ในที่เดียวกัน คือ ร้าน MAGURO ร้าน HITORI SHABU ซึ่งเปิดให้บริการแล้วในวันนี้ และร้านอาหารแบรนด์ใหม่รูปแบบ All day dining (ที่คาดว่าจะสามารถเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ภายใน 24 ธันวาคม 2567) โดยทั้งแต่ละร้านสามารถรองรับลูกค้าได้ราว 60-70 ที่นั่ง
อย่างไรก็ตามในอนาคต MAGURO Group ยังมีแผนขยายโมเดล The Flavorhood ในพื้นที่อื่นๆเพิ่มเติม เบื้องต้นที่จะขยายเข้าไปจะต้องมีขนาดไปต่ำกว่า 2 ไร่ เป็นย่านชุมชน หมู่บ้านที่มีศักยภาพทางการเติบโตสูง
“แม้สาขาที่ 2 เราจะยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นที่ไหน แต่ที่แน่ๆ สาขาลำดับถัดไปจะต้องมีขนาดมากกว่า 2 ไร่ และจะมีการเพิ่มคอนเซปต์พิเศษอื่นๆ เข้าไปเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ส่วนในพื้นที่จะมีแบรนด์อะไรบ้างคงจะต้องมีการเลือกอีกทีตามพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าในย่านนั้นๆ”
ปัจจุบัน MAGURO Group มีร้านอาหารในเครือ รวมทั้งหมด 34 สาขาจาก 5 แบรนด์ คือ
- MAGURO ร้านอาหารญี่ปุ่นและซูชิสไตล์ระดับพรีเมียม 18 สาขา
- SSAMTHING TOGETHER ร้านปิ้งย่างสไตล์เกาหลีวัตถุดิบพรีเมียม 6 สาขา
- HITORI SHABU ร้านชาบูและสุกี้ยากี้หม้อเดี่ยวสไตล์คันไซ 10 สาขา
- HITORI SUKIYAKI ร้านสุกี้ยากี้คันไซแบบดั้งเดิมภายใต้คอนเซปท์ Authentic Japanese Sukiyaki Course ในรูปแบบ Stand Alone ตั้งอยู่ที่เอกมัย 12 และ 5
- Tonkatsu AOKI ร้านสุดยอดทงคัตสึต้นตำรับจากประเทศญี่ปุ่นที่เตรียมเปิดภายในไตรมาส 4 ของปีนี้
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE