แนวโน้มการเติบโตของตลาดบะหมี่ในประเทศไทยมูลค่ากว่า 2.6 หมื่นล้านบาท ยังคงมีเติบโตอย่างต่อเนื่องและรวดเร็วเฉลี่ย 10.7% ต่อปี มีสัดส่วนเป็นผลิตภัณฑ์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปถึง 80.24% ขณะที่ผู้บริโภคชาวไทยมีอัตราการบริโภคบะหมี่เฉลี่ยเป็นอันดับ 9 ของโลก คิดเป็น 3.6 พันล้านซองต่อปี หรืออยู่ที่ประมาณ 55 ซองต่อปีต่อปี
การเติบโตดังกล่าวทำให้ บริษัท ซีเจ ฟู้ดส์ เอ-เบสท์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเกิดจากการร่วมทุนระหว่าง บริษัท ซีเจ เชอิลเจดัง จำกัด บริษัทยักษ์ใหญ่ผู้นำด้านอาหารอันดับหนึ่งในประเทศเกาหลี และ บริษัท เอ-เบสท์ จำกัด ผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายผักผลไม้ในประเทศไทย จึงก้าวเข้ามาเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเมืองไทย
โดยเลือกเปิดตัว “บิบิโก รามยอน” (bibigo Ramyun) ที่มาพร้อมโพชิชันบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพรีเมียมสไตล์เกาหลี 5 รสชาติ ได้แก่ รสต็อกบกกีเผ็ด รสชีสต็อกบกกี รสกิมจิ รสไก่เกาหลี และรสไก่รมควันสไตล์เกาหลี นำร่องจำหน่ายที่ 7-Eleven และที่ Lotus’s ในราคา 39 บาท
คุณคิม ดงฮยอน ผู้จัดการส่วนการตลาด ซีเจ ฟู้ดส์ (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “ซีเจ ฟู้ดส์ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์บิบิโก รามยอน ในครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของซีเจ ฟู้ดส์ โดยเปิดตัวที่ประเทศไทยเป็นตลาดแรก เนื่องจากเล็งเห็นแนวโน้มการเติบโตในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เมื่อรวมกับกระแสความนิยมของ K-Culture อย่างศิลปินเคป็อป (K-POP) และซีรีส์เกาหลี (K-Series) ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ยังคงมาแรงอย่างต่อเนื่องทำให้เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบ K-Culture ได้เป็นอย่างดี
“เราเลือกเปิดตัวในไทยเป็นที่แรกในโลกในการวางจำหน่าย เนื่องจากมองเห็นโอกาสทางการเติบโตของตลาดในเมืองไทย อีกทั้งมองว่ายังมีช่องว่างเรื่องรสชาติที่สามารถสร้างการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้”
จังหวะดี โอกาสได้ เปิด 5 รสชาติใหม่ เจาะไทยที่แรกในโลก
การเปิดตัว “บิบิโก รามยอน” ในช่วงที่ผู้เล่นแบรนด์เกาหลีเข้ามาทำตลาดแล้วกว่า 30 แบรนด์ ทำให้หลายคนสงสัยว่า ทำไม?…ซีเจฯ ถึงเลือกช่วงเวลานี้ในการเปิดตัวออกมาทำตลาด โดย “คุณคิม ดงฮยอน” บอกว่า ตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเมืองไทยมีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง มีการแข่งขันทั้งจากผู้เล่นโคคัลแบรนด์และแบรนด์นำเข้าอยู่มากมาย การเข้ามาทำตลาดในปีนี้เนื่องจากมองว่าเป็นจังหวะที่มีการเติบโตดี ขณะเดียวกันก็มีเซกเมนต์ที่หลากหลายให้เข้าไปเล่น
และเมื่อโฟกัสมาที่ตลาดรามยอนในไทยปีนี้ เริ่มแตกต่างจาก 3-4 ปีที่ผ่านมา นอกจากการเติบโตที่สูงขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญคือมีเซกเมนต์ในตลาดเยอะขึ้น ระดับราคาที่หลากหลายเริ่มตั้งแต่ 8-65 บาท ซึ่งหากโฟกัสมายังเซกเมนต์ย่อย จะพบว่ามี 3 เซกเมนต์หลัก ได้แก่
- ตลาดผู้เล่นท้องถิ่น หรือ Local Brand ที่มีราราตั้งแต่ 8-15 บาท กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ทำตลาดมานาน มีหลากหลายแบรนด์ หลากหลายรสชาติ ถือเป็นเซกเมนต์ที่มีการเติบโตสูงสุด
- ตลาดLocal Premium กลุ่มนี้จะยังคงเป็นแบรนด์ผู้เล่นท้องถิ่น แต่ว่ามีระดับราคาสูงขึ้น อยู่ที่ 30-35 บาท
- ตลาด Premium หรือกลุ่ม Korean Import โดยกลุ่มนี้แม้จะยังมีสัดส่วนที่น้อยเมื่อเทียบกับตลาดผู้เล่นท้องถิ่น ทว่ากลับมาการเติบโตที่ดี บริษัทจึงเลือกเข้ามาทำตลาดนี้ โดยเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบใน K-Culture เป็นหลักก่อน
“ปัจจุบันแบรนด์รามยอนจากเกาหลีมาทำตลาดในไทยแล้วกว่า 30 แบรนด์ โดย 10-15 แบรนด์อยู่ในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปพรีเมียมที่นำเข้าจากเกาหลี ซึ่งเป็นเซกเมนต์เดียวที่เราเข้าไปทำตลาด โดยเราวางเป้าหมายการเติบโตในปีแรกไว้ที่ 100 ล้านบาท”
จุดพลัง K-Culture เอาใจสายซีรีส์ ดึงวัฒนธรรมการทานรามยอนในทีวี ที่คนดูอยากทานตาม”
ส่วนกลยุทธ์ในการทำตลาดของบิบิโก รามยอน “คุณคิม ดงฮยอน” บอกว่า จะเดินหน้าสื่อสารการตลาดในไทย ผ่านกลุ่มอินฟลูเอนเซอร์ โดยจะเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าที่นอนดึกหรือคนที่ชอบดูซีรีส์เกาหลีที่มักจะมีฉากที่ตัวละครนั่งรับประทานรามยอน และเชื่อว่าหลายคนคงอยากรับประทานบ้าง
ทางแบรนด์จึงมุ่งตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มนี้ด้วยการดึงวัฒนธรรมการรับประทานอาหารมื้อดึกหรือ 야식 (ยาชิก) ซึ่งเป็นโมเมนต์ที่อาหารเกาหลีและซีรีส์เกาหลีมาบรรจบกันกับ Insight ของผู้บริโภคชาวไทย นำมาสู่คอนเซปต์ของการเปิดตัวบิบิโก รามยอน ในฐานะเพื่อนคู่ใจยามดึก กับคอนเซปต์ “ซู้ดสุข ทุกคืน ” (Full Flavors for a Delicious Night) เจาะใจกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ให้สัมผัส K-Culture รวมไปถึงการคอลแลบกับ “Wootteo (อูตอ)” คาแรกเตอร์สุดน่ารักซึ่งออกแบบโดย Jin BTS ผ่านการดีไซน์แพ็กเกจจิง Special Edition ที่มีวางจำหน่ายที่ประเทศไทยเท่านั้น
จากกระแส K-Culture ที่กำลังมาแรงในไทย บวกกับแนวโน้มการเติบโตในตลาด น่าจับตาว่า “บิบิโก รามยอน” รามยอนน้องใหม่รายนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE