แอลจี ประเทศไทย โชว์ตัวเลขผลประกอบการปี 2024 โตแกร่งกว่า 5% และตั้งเป้าการเติบโตในปีนี้ไว้ที่ 15% เดินหน้าปรับโครงสร้างใหญ่ตามวิสัยทัศน์ Future Vision 2030 ด้านผู้บริหารเผยยอดขาย “เครื่องฟอกอากาศ” ในเดือนมกราคมที่ผ่านมาโตแรง 40% (เมื่อเทียบกับเดือนมกราคมของปี 2024) จนต้องนำเข้าเป็นกรณีพิเศษจากเวียดนาม – เกาหลีใต้ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคในไทย
รู้จัก 4 กลุ่มธุรกิจใหม่ของแอลจี
ความเคลื่อนไหวของแอลจีที่สำคัญในปีนี้เริ่มตั้งแต่เดือนมกราคม โดยบริษัทมีการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ตามวิสัยทัศน์ Future Vision 2030 ที่แบ่งกลุ่มธุรกิจใหม่เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่
- กลุ่มธุรกิจโซลูชันเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน (Home Appliance Solution: HS)
- กลุ่มธุรกิจโซลูชันด้านสื่อและความบันเทิง (Media Entertainment Solution: MS) ที่ปรับเปลี่ยนจากผู้ให้บริการฮาร์ดแวร์ไปสู่ผู้ให้บริการคอนเทนต์และบริการ
- กลุ่มธุรกิจโซลูชันเพื่อสิ่งแวดล้อม (Eco Solution: ES) ผ่านการพัฒนาโซลูชัน HVAC และโซลูชันที่มีเฉพาะสำหรับประเทศไทย
- กลุ่มธุรกิจโซลูชันยานยนต์ (Vehicle Solution: VS) ปัจจุบันยังไม่มีการเปิดตัวในประเทศไทย (ส่วนใหญ่ฐานลูกค้าของธุรกิจนี้อยู่ในสหภาพยุโรป)
หรือหากจะกล่าวให้ชัดเจนก็คือ กลุ่มธุรกิจหลักของแอลจี ประเทศไทย มี 3 กลุ่มธุรกิจนั่นเอง
ตั้งเป้าปี’68 โตเพิ่ม 15%
คุณอำนาจ สิงหจันทร์ หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท แอลจี อิเล็กทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 ว่า วางเป้าหมายการเติบโตไว้ที่ 15% โดยหัวใจสำคัญคือ AI หรือที่ย่อมาจาก Affectionate Intelligence ซึ่งเป็นการพัฒนา AI ผ่านองค์ประกอบสำคัญ 3 ข้อ นั่นคือ
- การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT ของแบรนด์ต่าง ๆ ได้มากกว่า 170 แบรนด์ทั่วโลก (แอลจีมีการเข้าซื้อกิจการบริษัท Athom เพื่อให้การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoT ทำได้แบบ Seamless)
- การพัฒนา AI Agent และนำมาใช้ในการวิเคราะห์รูปแบบการใช้ชีวิตของผู้บริโภค เพื่อสร้างประสบการณ์แบบเฉพาะตัว
- การจับมือกับไมโครซอฟท์ เพื่อพัฒนาให้ผลิตภัณฑ์ของแอลจีกับ AI ของไมโครซอฟท์ทำงานร่วมกันแบบไร้รอยต่อ
ผู้บริหารแอลจี ประเทศไทยยังกล่าวต่อไปด้วยว่า ปัจจุบัน แอลจีมี connected devices หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแล้วกว่า 700 ล้านเครื่องทั่วโลก ส่วนประเทศไทย พบว่า สินค้าแอลจีที่ผู้บริโภคซื้อไปนั้น มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมากถึง 80% โดยส่วนใหญ่เป็นทีวี
สำหรับบริการรับชมคอนเทนต์ต่าง ๆ ผ่านทีวีของแอลจีนั้น ได้เริ่มให้บริการแล้ว 13 ประเทศ ส่วนในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก คาดว่าจะเริ่มให้บริการได้ภายในปีนี้ รวมถึงทีวีที่เปิดตัวในงาน CES 2025 ก็คาดว่าจะเข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยช่วงกลางปี 2025 เช่นกัน
ปี 2025 เพิ่มสินค้ามาพร้อม AI
ในส่วนของสินค้าใหม่ในปี 2025 ผู้บริหารแอลจีเผยว่า จะมีการผนวก AI มากขึ้น โดยอาจคิดเป็นสัดส่วนถึง 40% ของสินค้าทั้งหมด ที่สำคัญ ในกลุ่มสินค้าระดับเริ่มต้นก็จะมี AI มาพร้อมกันด้วย เช่น ทีวี (เพิ่มขึ้นจากปี 2024 ที่มีราว 20% และเป็นสินค้าในกลุ่มระดับกลาง-บนเป็นส่วนใหญ่)
สำหรับ ช่องทางการจัดจำหน่ายของแอลจีในปีนี้ พบว่ายังคงอยู่ใน 3 ช่องทางสำคัญ ได้แก่
- ธุรกิจ B2C (Business to Consumer) ผ่าน Modern Trade และ Tradition Trade โดยมีตัวแทนจำหน่ายกว่า 900 สาขาทั่วประเทศ ปัจจุบันครองส่วนแบ่ง 70%
- ธุรกิจ B2B (Business to Business) โดยบริษัทตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนธุรกิจจาก 11% เป็น 15%
- ธุรกิจ D2C (Direct to consumer) ผ่านเว็บไซต์ LG.com และการขายผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Shopee, Lazada, TikTok, NocNoc
จากความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้นกับแอลจี ประเทศไทย คุณซองฮัน จอง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอลจี อีเลคทรอนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “แอลจีกำลังเปลี่ยนผ่านสู่การเป็น Smart Life Solution Company ตามวิสัยทัศน์ Future Vision 2030 โดยผสาน AI และความยั่งยืนเข้าด้วยกัน เพื่อสร้างรูปแบบการใช้ชีวิต การทำงาน และการเชื่อมต่อรูปแบบใหม่ที่ผสานกับเทคโนโลยีได้อย่างไร้รอยต่อให้เกิดขึ้นกับผู้บริโภคชาวไทย”
เปิดรายได้แอลจี 2024 โตครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์
ด้านผลประกอบการของบริษัทแม่อย่าง แอลจี อีเลคทรอนิคส์ พบว่ามีรายได้รวม 87.73 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 2.07 ล้านล้านบาท) และกำไรจากการดำเนินงาน 3.42 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 8.07 หมื่นล้านบาท) โดยทางบริษัทระบุว่า เป็นรายได้ที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัทเลยทีเดียว
สำหรับกลุ่มธุรกิจสำคัญที่มีส่วนในการสร้างรายได้ครั้งประวัติศาสตร์นี้คือ กลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและชิ้นส่วนยานยนต์ โดยกลุ่มธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านและเครื่องปรับอากาศของแอลจี รายงานรายได้ในปี 2567 ที่ 33.2 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 7.84 แสนล้านบาท) และมีกำไรจากการดำเนินงานอยู่ที่ 2.04 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 4.81 หมื่นล้านบาท)
ขณะที่ธุรกิจบอกรับสมาชิก หรือ LG Subscribe เครื่องใช้ไฟฟ้า และการขายตรงถึงผู้บริโภค พบว่า รายได้จากธุรกิจบอกรับสมาชิกพุ่งสูงขึ้นกว่า 75% เมื่อเทียบกับปีก่อน ใกล้แตะระดับ 2 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 4.72 หมื่นล้านบาท) ส่วนในประเทศไทยพบว่ามียอดการ Subscribe ประมาณ 1,000 รายและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ส่วนกลุ่มธุรกิจโฮมเอ็นเตอร์เทนเมนต์ของแอลจี รายงานรายได้ในปี 2025 ที่ 15.23 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 3.59 แสนล้านบาท) และกำไรจากการดำเนินงาน 315.9 พันล้านวอน (หรือประมาณ 7.45 พันล้านบาท) โดยยอดขายทีวี OLED เติบโตจากแรงหนุนของการจัดการแข่งขันกีฬาระดับโลก
นอกจากนี้ ธุรกิจโฆษณาและคอนเทนต์บนแพลตฟอร์ม webOS สามารถสร้างรายได้ทะลุ 1 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 2.36 หมื่นล้านบาท) เป็นครั้งแรกด้วยเช่นกัน
กลุ่มธุรกิจชิ้นส่วนยานยนต์ของแอลจี รายงานรายได้ในปี 2567 ที่ 10.62 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 2.51 แสนล้านบาท) นับเป็นปีที่สองติดต่อกันที่สามารถทำรายได้สูงกว่า 10 ล้านล้านวอน (หรือประมาณ 2.36 แสนล้านบาท) ส่วนกำไรจากการดำเนินงานลดลงเหลือ 115.7 พันล้านวอน (หรือประมาณ 2.73 พันล้านบาท) เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากต้นทุนการพัฒนาโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้น และการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยซอฟต์แวร์ (SDV) นั่นเอง
Photo Credit : NUMBER 24 – Authorized Shutterstock Partner in Thailand
เป็นเพื่อนกับเราได้ที่ LINE