ปัจจุบันมีผู้ใช้งานแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของ Meta (Facebook Messenger Instagram Whatsapp) ทั่วโลกรวม 3,290 ล้านคน โดยสถิติที่น่าสนใจคือในแต่ละวันต้องมีคนใช้งาน Meta อย่างน้อย 1 แพลตฟอร์ม กว่า 60% ของผู้ใช้ Facebook และ Instagram ดูวิดีโอ และ 50% ของเวลาบน Instagram ดูวิดีโอสั้น Reels
เทคโนโลยี AI ทำให้เข้าใจคนใช้แพลตฟอร์ม Meta และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ในปี 2023 Meta ได้นำ AI มาใช้แนะนำโพสต์และวิดีโอบน Feed ให้ตรงใจและตรงความสนใจมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้ Facebook ใช้เวลาเพิ่มขึ้น 8% และผู้ใช้ Instagram ใช้เวลาเพิ่มขึ้น 6% หัวใจของเรื่องนี้ คือการสร้าง “คอมมูนิตี้” บนแพลตฟอร์ม Meta ให้แน่นแฟ้นมากขึ้น ทั้งฝั่งครีเอเตอร์และผู้ติดตาม
ในเวทีสัมมนา The Future of the ICONIC: Thailand’s Creator Landscape in 2025 ในงาน iCreator Conference คุณป๊อปปี้ ธารินาฎ ภัทรรังรอง Strategic Partner Manager, Global Partnership Facebook Thailand ได้ให้ไกด์ไลน์การทำคอนเทนต์บนแพลตฟอร์ม Meta ในยุค AI กับหัวข้อ “สร้างอนาคตแห่งการเชื่อมต่อผ่านความคิดสร้างสรรค์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI” (Building the Future of Connection Through AI-Powered Creativity) สรุปได้ดังนี้
ในยุคของ AI ได้เข้ามาสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทุกอุตสาหกรรม การใช้ AI บน Meta ได้พัฒนามากว่า 10 ปีแล้ว เวอร์ชั่นปัจจุบันคือ Llama 3.2 ที่เปิดให้ใช้งานภาษาไทยด้วย หัวใจสำคัญต้องทำให้เป็นประโยชน์กับผู้ใช้งานและทำงานอย่างรับผิดชอบต่อสังคม
สรุป 3 ข้อสำคัญ AI ของ Meta สนับสนุนคอนเทนต์ขึ้นฟีด
1. AI in content Consumption
ในทุกๆ ครั้งที่มีการรับชมข้อมูลและวิดีโอบน Facebook Instagram ทุก Touch point ของดาต้าแพลตฟอร์ม จะมี AI สนับสนุน Algorithm ในการช่วยนำเสนอคอนเทนต์ให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งาน โดยดูจาก 4 องค์ประกอบหลัก
1. Inventory การเก็บข้อมูลต่างๆ จากผู้ใช้งานติดตามหรือคอนเทนต์ที่น่าจะชอบ
2. Signals พฤติกรรมการใช้งาน จากการกด Like คอมเมนต์
3. Predictions วิเคราะห์ข้อมูลความชอบ
4. Score สรุปเป็นคะแนนคอนเทนต์ (หากคอนเทนต์ดีได้คะแนนดี)
หากต้องการให้ AI แนะนำคอนเทนต์ขึ้นฟีดผู้ใช้งาน สรุปไกด์ไลน์ 3 รูปแบบคอนเทนต์วิดีโด (Recommendations guidelines) ดังนี้
1. Fresh Content คอนเทนต์สด ใหม่ แปลก
2. Variety Content คอนเทนต์ต้องหลากหลาย เพราะต้องการให้คนใช้เวลาอยู่กับแพลตฟอร์มนานขึ้น (time spend)
3. Quality Content วิดีโอคอนเทนต์ที่มีความสร้างสรรค์ เป็นออริจินัล คอนเทนต์ที่มีคุณภาพ
2. AI in content protection
ในแต่ละวันจะมีคอนเทนต์จำนวนมากบนแพลตฟอร์มของ Meta จึงต้องให้ AI ทำเรื่อง Content Protection โดยกำหนดมาตรฐานชุมชนสำหรับผู้ใช้งานแพลตฟอร์ม ที่ให้ทุกคนที่อยู่ในชุมชนปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยในชุมชน
สำหรับสิ่งที่ AI มองว่าเป็นการละเมิด หรือ Myth busting บนแพลตฟอร์ม คงเคยเห็นแคปชั่นหรือคำเหล่านี้บน Facebook
– ชอบกดไลค์ใช่กดแชร์
– พิมพ์…เพื่อให้คำขอของคุณเป็นจริง
– แชร์โพสต์นี้ให้เพื่อนของคุณ
– แท็กเพื่อของคุณใต้โพสต์นี้
– ร่วมโหวตด้วยการกดไลค์ หัวใจ
แคปชั่นเหล่านี้ ถือเป็นความเข้าใจผิดข้อแรกของระบบการดักจับของ AI เพราะเมื่อ AI-protection ตรวจพบจะเข้าข่ายการละเมิด engagement และ reach ทันที
Meta ต้องการคุณภาพของคอนเทนต์อยู่บนแพลตฟอร์ม โดยไม่ต้องการให้ครีเอเตอร์รวมทั้งคนทั่วไป เขียนแคปชั่นที่เข้าข่ายล่อลวงให้คนทำกิจกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กดไลค์ กดแชร์ ชวนคอมเมนต์ หรืออะไรต่างๆ ในลักษณะนี้
อีกกรณีที่เห็นบนฟีด คือ คนเข้าใจว่าห้ามขายสินค้าบนแพลตฟอร์มหรือทำไมโพสต์สินค้าบนแพลตฟอร์มแล้วไม่มีทราฟฟิกหรือไม่มีคนเห็น ต้องบอกว่าประเทศไทย “ยืนหนึ่ง” เรื่องการขายสินค้าผ่านโซเชียลคอมเมิร์ซ ซึ่ง Meta สนับสนุนในเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่มีนโยบายการขายสินค้าให้ปฏิบัติตามด้วยเช่นกัน
ในประเทศไทยเหล่าครีเอเตอร์และพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ได้นำความลื่นไหลทางภาษามาใช้ในการโพสต์ขายสินค้า โดยใช้วิธีเลี่ยงคำ เช่น
– Vาย (เปลี่ยนจาก “ข” เป็นตัว V)
– อสังXา (เปลี่ยนจาก “ห” เป็นตัว X)
คำลักษณะนี้ AI ของ Meta ไม่แนะนำให้ทำ เพราะการใช้คำผสมกันแบบนี้ อาจทำให้ AI วิเคราะห์ผิดพลาดว่าผู้โพสต์ต้องการหลีกเลี่ยงการตรวจจับจากระบบ
อีกประเด็นคือการทำงานของอัลกอริธึมในการแสดงฟีด ใช้ไกด์ไลน์ 3 ข้อ คือ 1. Fresh Content 2. Variety Content และ 3. Quality Content โดย AI รวบรวมข้อมูลจากสิ่งที่ครีเอเตอร์และคนทั่วไปโพสต์ โดยไม่มีอคติ (bias) ดังนั้นการใช้แฮชแท็ก เหล่านี้
#อย่าปิดกั้นการมองเห็น
#เปิดการมองเห็น
แฮชแท็กเหล่านี้ไม่มีผลจากการวิเคราะห์ของ AI ให้แสดงโพสต์บนฟีด แต่สิ่งที่มีผลคือ ทำตามนโยบายการขายสินค้า ที่มีกฎระเบียบต่างๆ อยู่ เพื่อทำให้โพสต์แสดงบนฟีด
หากเห็นว่าโพสต์หรือวิดิโอไม่มีทราฟฟิก สิ่งที่ต้องทำคือการตรวจสอบ Status ของบัญชีผู้ใช้ ทั้ง Facebook เพื่อดูว่าคอนเทนต์ติดเหลืองติดแดงหรือไม่ หรือใน Instagram ดูที่ศูนย์บัญชี หากคอนเทนต์ทำผิดกฎ AI ของ Meta จะมีการแจ้งเตือน สิ่งเหล่านี้เป็นการเข้าใจระบบ AI ว่าทำงานอย่างไร เพื่อทำให้คอนเทนต์เข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น
3. AI in content creation
ปัจจุบัน Meta AI มีผู้ใช้งานในสหรัฐกว่า 500 ล้านคนต่อเดือน โดยเป็นตัวช่วยผู้ใช้งานทำคอนเทนต์ ลดระยะเวลาหาคอนเทนต์ ช่วยทำรูปได้ตามจินตนาการที่ต้องการ หากมีรูปอยู่แล้วเพิ่มองค์ประกอบอื่นๆ ทำรูปได้รวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาเรียนรู้จากแอปทำรูปอื่นๆ
AI Sticker ใน Instagram ช่วยทำสติ๊กเกอร์ ช่วยทำหรือเปลี่ยน Background ของรูปได้
การทำวิดีโอสั้น Meta AI ช่วยทำสตอรี่บอร์ด โดยใส่รายละเอียดว่าต้องการแบบไหน
Meta AI transaction ช่วยทำให้คอนเทนต์ ด้วยการแปลเป็นภาษาต่างๆ เพื่อเข้าถึงคนทั่วโลกได้มากขึ้น
เครื่องมือ Meta AI จะเข้ามาสนับสนุนการสร้างคอมมูนิตี้ที่แน่นแฟ้นของครีเอเตอร์กับผู้ติดตาม เพื่อเติบโตไปด้วยกันกับแพลตฟอร์ม
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE