ปฏิเสธไม่ได้ว่าในโลกยุคปัจจุบัน การเป็นธีมปาร์คมีความท้าทายมากมายให้ต้องเผชิญ และการรักษาความเป็นธีมปาร์คที่น่าประทับใจในความทรงจำของนักท่องเที่ยว หลายครั้งอาจต้องใช้ทั้งงบประมาณ และการลงทุนลงแรงจำเป็นจำนวนมาก การปรับตัวและการหาแหล่งรายได้ใหม่เข้ามาทดแทนจึงเป็นเรื่องน่าสนใจ ซึ่งหนึ่งในแบรนด์ที่ปรับตัวได้ดี อาจเป็น โอเชี่ยนปาร์ค (Ocean Park) ธีมปาร์คชื่อดังแห่งเกาะฮ่องกงที่มีอายุถึง 48 ปี (เปิดตัวเมื่อ 10 มกราคม 1977) ที่สามารถกลับมาทำรายได้เพิ่มขึ้น 41% อีกครั้ง
หากย้อนเหตุการณ์ในอดีต จะพบว่า โอเชี่ยนปาร์คผ่านสถานการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อการเป็นธีมปาร์คมาไม่น้อย เช่น การระบาดของโรคซาร์ในช่วงปี 2002 – 2004 ที่ทำให้ผู้คนบนเกาะฮ่องกงต้องลดการเดินทางและอยู่ในบ้านกันเป็นส่วนใหญ่ หรือการปรากฏตัวของคู่แข่งระดับโลกอย่าง Hong Kong Disneyland เมื่อปี 2005 ที่หลายคนคาดการณ์ว่าจะทำให้นักท่องเที่ยวของโอเชี่ยนปาร์คลดน้อยถอยลง
นอกจากนั้นยังมีวิกฤติ Covid-19 ที่ทำสวนสนุกทั่วโลกรายได้หดไปตาม ๆ กัน แต่โอเชี่ยนปาร์คก็เป็นหนึ่งในธีมปาร์คที่ผ่านสถานการณ์เหล่านั้นมาได้ และมีการลงทุนเพิ่มเติมในหลายด้าน เช่น การเพิ่มพื้นที่สวนน้ำ การเพิ่มส่วนของสวนสนุก – เครื่องเล่นต่าง ๆ
เปิดรายได้ของโอเชี่ยนปาร์ค ธีมปาร์คบนพื้นที่ 571 ไร่
จากพื้นที่เริ่มต้นที่ได้มาจากรัฐบาลเกาะฮ่องกงจำนวน 170 เอเคอร์ (ประมาณ 429 ไร่) ปัจจุบัน โอเชี่ยนปาร์ค ได้ขยายตัวออกไปจนมีพื้นที่ทั้งสิ้น 226 เอเคอร์ (ประมาณ 571 ไร่) และในปี 2024 ที่ผ่านมา พบว่า มีคนไปเยี่ยมเยือนมากถึง 3.14 ล้านคนในปี 2024 (ตัวเลขระหว่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2023 ถึง 30 มิถุนายน 2024 อ้างอิงจากรายงานผลประกอบการประจำปี 2024) เพิ่มขึ้น 33% จากปี 2023 ที่มี 2.36 ล้านคน โดยนักท่องเที่ยวกว่าครึ่งคือนักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่ (เพิ่มขึ้น 355%)
ในขณะที่นักท่องเที่ยวจากอินเดียและฟิลิปปินส์เพิ่มขึ้น 412% และ 226% ตามลำดับ ทำให้โอเชี่ยนปาร์คมีรายได้จากบัตรเข้าชมเพิ่มขึ้น 54%
ส่วนรายได้จากสินค้าและอาหารเพิ่มขึ้น 27% และ 32% ตามลำดับ และการใช้จ่ายต่อหัวก็เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบกับปี 2023 ด้วย นั่นทำให้รายได้รวมของโอเชี่ยนปาร์คในปี 2024 เพิ่มขึ้น 41% เมื่อเทียบกับปี 2023 โดยอยู่ที่ 1,181 ล้านเหรียญฮ่องกงเลยทีเดียว (ประมาณ 5,106 ล้านบาท)
โอเชี่ยนปาร์คในวันที่เจอแหล่งรายได้ใหม่
คุณ Rosalind Siu ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด การขาย และเอนเตอร์เทนเมนท์ของ Ocean Park และ Water World กล่าวถึงตัวเลขรายได้ที่เติบโตขึ้นถึง 41% ว่า มาจากการสร้างรายได้จากช่องทางใหม่ ๆ ได้แก่
- การจัดงานอีเวนท์ขนาดใหญ่ตลอดทั้งปีอย่างงานฮาโลวีน งานตรุษจีน
- การจัดกิจกรรมสำหรับกระชับความสัมพันธ์ของพนักงานในองค์กร
- การให้เช่าสถานที่สำหรับบริษัทและองค์กรต่าง ๆ
- การจัดทัวร์ศึกษาดูงานสำหรับนักเรียนต่างชาติ
นอกจากนั้น โอเชี่ยนปาร์คยังมีการให้กำเนิดแพนด้ายักษ์แฝดอีกสองตัวเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 ที่ชาวฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ตื่นเต้นเป็นอย่างมาก และทำให้โอเชี่ยนปาร์คกลายเป็นบ้านของแพนด้าจำนวนมากที่สุดรองจากจีนแผ่นดินใหญ่ (มีแพนด้ายักษ์มากถึง 6 ตัว ส่วนลูกแพนด้าแฝดจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้)
โดยคุณ Rosalind มองว่า ความพร้อมเหล่านี้ ทำให้โอเชี่ยนปาร์คต้องการประกาศโพสิชันใหม่ นั่นคือการเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้ (Educational Park) และพื้นที่แห่งการอนุรักษ์ (Conservation Park) เพื่อสร้างความแตกต่างจากการเป็นธีมปาร์คทั่ว ๆ ไป
ลุยเจาะตลาดครอบครัว – โรงเรียน
สำหรับกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่เพิ่มเข้ามา นอกจากการโฟกัสที่นักท่องเที่ยวก็คือ กลุ่มครอบครัวและภาคการศึกษา ซึ่งทางโอเชี่ยนปาร์คมองว่าเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพ และมีการใช้จ่ายสูง
เพื่อสร้างการเติบโตในส่วนนี้ โอเชี่ยนปาร์คได้จัดตั้ง Ocean Park Conservation Alliance ในปี 2023–2024 และมีโปรแกรมอย่าง Seahorse Rangers ในการคัดเลือกนักเรียนมากกว่า 10,000 คนจากระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษา และอนุบาลของฮ่องกง เพื่อมาทำกิจกรรมอนุรักษ์สัตว์น้ำ และยังมีการเปิดตัวกิจกรรมการศึกษา 90 กิจกรรมที่มุ่งเป้าไปที่โรงเรียน ครอบครัว ประชาชน และบริษัทต่าง ๆ ด้วย
ส่วนในมุมของกลุ่มครอบครัว คุณ Rosalind เผยว่ามีประเทศเป้าหมายเช่น สิงคโปร์ ไทย ไต้หวัน รวมถึงประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอาเซียน และมองว่า การมีแพนด้ายักษ์คือจุดดึงดูดสำคัญด้วย ซึ่งจากการทดลองทำสิ่งใหม่ ทางโอเชี่ยนปาร์คพบว่า สามารถสร้างการมีส่วนร่วมด้านการเรียนรู้เพิ่มขึ้น ดังจะเห็นได้จากแผนภูมิด้านล่าง
ลงทุนสร้างเครื่องเล่นเพิ่ม
สำหรับแผนการลงทุนเพิ่มในปี 2025 นี้ ทางโอเชี่ยนปาร์คระบุว่า จะมีการเพิ่มเครื่องเล่นอย่าง Luge, บันจี้จัมพ์ เพื่อรองรับกลุ่มครอบครัว รวมถึงการมีโรงแรมระดับห้าดาวสองแห่งอย่างแมริออทและ The Fullerton ที่น่าจะทำให้ธีมปาร์คน่าดึงดูดมากขึ้น
นี่จึงอาจเป็นอีกหนึ่งแนวทางสำหรับธีมปาร์คที่ต้องการปรับตัวและมองหาตลาดใหม่ ๆ เพื่อสร้างรายได้เพิ่มในวันที่กลุ่มเป้าหมายหลากหลายมากขึ้นทุกทีก็เป็นได้ และเราอาจเห็นภาพนี้ได้ชัดขึ้นในวันที่บริษัทเผยผลประกอบการครั้งต่อไปนั่นเอง