ตลาด Robotic กำลังเป็นอีกหนึ่งเทรนด์ที่มีการใช้งานเพิ่มขึ้นในประเทศไทย เห็นได้จากสถิติการนำเข้าหุ่นยนต์เพื่อใช้งานในภาคอุตสาหกรรมที่มีกว่า 3,600 ตัวในปี 2566 (อ้างอิงจากรายงาน World Robotics 2023 ของสหพันธ์หุ่นยนต์นานาชาติ (International Federation of Robotics หรือ IFR))
จากตัวเลขดังกล่าว ส่งผลให้ประเทศไทยมีการใช้หุ่นยนต์ภายในประเทศมากเป็นอันดับ 15 ของโลก และอันดับหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เพื่อตอบรับเทรนด์นี้ ทาง เอสไอเอส ผู้จัดจำหน่ายสินค้าไอทียักษ์ใหญ่จึงได้จับมือกับ Dobot ยักษ์ใหญ่ด้านหุ่นยนต์จากจีนประกาศเป็นผู้จัดจำหน่ายหุ่นยนต์ร่วมปฏิบัติงานหรือ Collaborative Robot (Cobot) อย่างเป็นทางการ โดยตั้งเป้ายอดขายในปีนี้เอาไว้ที่ 50 ล้านบาท และอาจมีโมเดลเช่าสำหรับลูกค้า SME ที่สนใจด้วย
คุณสมชัย สิทธิชัยศรีชาติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงข้อได้เปรียบของการใช้งานหุ่นยนต์ในภาคธุรกิจว่า ปัจจุบันหุ่นยนต์ Cobot มีขนาดเล็กลง น้ำหนักเบา ติดตั้งสะดวกขึ้น จึงสามารถตอบโจทย์การทำงานของธุรกิจได้หลากหลาย พร้อมยกตัวอย่างธุรกิจร้านกาแฟ ที่หุ่นยนต์รุ่นใหม่ ๆ สามารถชงกาแฟได้ในเวลาอันรวดเร็ว อีกทั้งยังเป็นที่สนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมาได้
ชงกาแฟ 36 วินาทีต่อแก้ว คืนทุนใน 5 เดือน
ด้านคุณเจอรี่ หลิว ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดูบอท กล่าวเพิ่มเติมถึงธุรกิจกาแฟ และความสามารถในการชงกาแฟของหุ่นยนต์จาก Dobot ว่าสามารถทำได้ในเวลา 36 วินาทีต่อแก้ว (ระยะเวลาในการชงขึ้นอยู่กับการตั้งโปรแกรม) ซึ่งธุรกิจนี้ในจีนแผ่นดินใหญ่สามารถคืนทุนได้ในเวลา 8 เดือน ส่วนในสหรัฐอเมริกาสามารถคืนทุนได้ในเวลา 5 เดือน
ส่วนในไทยซึ่งมีความแข็งแกร่งในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม และหลายบริษัทได้จัดทำครัวกลางเพื่อควบคุมคุณภาพอาหาร ก็มองว่าหุ่นยนต์ Cobot เหล่านี้จะสามารถตอบโจทย์ด้านความสม่ำเสมอของคุณภาพอาหารได้เช่นกัน
รู้จัก Dobot เบอร์หนึ่งแดนมังกร
สำหรับ Dobot ปัจจุบันเป็นบริษัทผู้ผลิตหุ่นยนต์ร่วมปฏิบัติงานที่มีการส่งออกมากเป็นอันดับหนึ่งของจีน โดยสามารถส่งออกไปแล้ว 72,000 ตัว และมีตลาดอยู่ในกว่า 80 ประเทศทั่วโลก อีกทั้ง 59% ของรายได้บริษัทมาจากตลาดต่างประเทศ
สำนักงานใหญ่ของ Dobot อยู่ที่เมืองเซินเจิ้น ประเทศจีน (ก่อตั้งในปี 2558) โดยบริษัทมีทีม R&D ของตนเอง ที่คอยพัฒนาเทคโนโลยีที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะอย่างเทคโนโลยีหยุดก่อนชน หรือ SafeSkin โดยระบุว่า สามารถทำให้หุ่นยนต์หยุดได้ก่อนที่จะชนวัตถุได้ (10 – 15 เซนติเมตร)
ส่วนผลงานการพัฒนาของบริษัทในปี 2568 คือการพัฒนาหุ่นยนต์เสมือนมนุษย์ที่ทำงานร่วมกับ AI สำหรับใช้งานในภาคธุรกิจ
ตลาด Cobot เอเชียแปซิฟิกโตเร็วที่สุดในโลก
รายงานจากสหพันธ์หุ่นยนต์นานาชาติ ยังคาดการณ์ด้วยว่า ตลาด Cobot ทั่วโลก จะมีมูลค่า 4,900 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ภายในปี 2571 คิดเป็นอัตราการเติบโตต่อปี (CAGR) ที่ 36.6% โดยภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นหนึ่งในตลาดโคบอทที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก
ทั้งนี้ ดูบอทมีอัตราการเติบโตสูงถึง 90% ในภูมิภาคนี้ในปี 2567 โดยมีประเทศไทย มาเลเซีย เวียดนาม ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอินเดีย เป็นตลาดที่มีความสำคัญ
สำหรับมุมมองของคุณหลิว ต่อตลาดไทยนั้น เขาระบุว่า ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตที่สำคัญในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีศักยภาพในการผลิตที่แข็งแกร่งและข้อได้เปรียบทางเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ยานยนต์และอิเล็กทรอนิกส์ โดยในปี 2566 การผลิตยานยนต์ของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 1.83 ล้านคัน ทำให้เป็นตลาดยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสร้างโอกาสมากมายสำหรับตลาด Cobot
อย่างไรก็ดี ส่วนหนึ่งของการเติบโตดังกล่าวอาจเป็นเพราะหลายประเทศในภูมิภาคนี้กำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย เช่น ในประเทศไทย ที่รายงานของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ระบุว่า 1 ใน 5 ของประชากรหรือประมาณ 13 ล้านคน มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว ส่งผลให้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานกลายเป็นปัญหาเร่งด่วน และงานที่มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เช่น พนักงานขนส่งในธุรกิจโลจิสติกส์หรือพนักงานในสายการผลิต จึงต้องพึ่งพาหุ่นยนต์มากขึ้น
“การแต่งตั้งให้เอสไอเอสเป็นตัวแทนจำหน่ายหลักในประเทศไทย จึงเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการขยายตลาด เนื่องจากเอสไอเอสเป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้ากลุ่มเทคโนโลยีที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย มีประสบการณ์ในตลาดอย่างกว้างขวางและมีเครือข่ายการขายและบริการที่แข็งแกร่ง ทำให้เอสไอเอสเป็นพันธมิตรที่เหมาะสม ช่วยให้ดูบอทสามารถเจาะตลาดในประเทศไทยได้อย่างรวดเร็ว” คุณหลิวกล่าวปิดท้าย โดยบริษัทตั้งเป้าว่า จะมียอดขาย 300 ล้านบาทภายในปี 2570 และจะพาแบรนด์ Dobot ก้าวขึ้นเป็นที่ 1 ในด้านส่วนแบ่งการตลาดภายใน 3 ปีด้วย