“พัทยา” หนึ่งหัวเมืองท่องเที่ยวหลักที่ได้รับความนิยมทั้งจากชาวไทยและต่างชาติ ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองที่มีผู้มาเยือนมากที่สุดในโลกประจำปี 2023 หรือ The Most Visited Cities in the World อันดับที่ 15 มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนกว่า 9.44 ล้านคน การเติบโตดังกล่าวทำให้หลายธุรกิจที่เกี่ยวข้องมีการเติบโตเพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะ “ธุรกิจโรงแรม” มีจำนวนผู้เล่นมากขึ้นในหลายระดับ
“เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา” คือหนึ่งในโรงแรมในเครือเซ็นทาราเดินหน้ารับลูกค้ามาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ปี 2552 หรือราว 16 ปีที่ผ่านมา โดยถือเป็น Themed Hotel ภายใต้ธีม Lost World แห่งแรกในไทย บนเนื้อที่กว่า 43 ไร่ มีจุดเด่นคือหน้าหาดที่ยาวกว่า 300 เมตร (หาดวงศ์อำมาตย์) และสวนนำ้ภายในแบบครบครันมายาวนาน
ล่าสุดเพื่อเป็นการรองรับการเติบโตดังกล่าว “เซ็นทารา” ได้ทุ่มงบกว่า 1,400 ล้านบาท เดินหน้าปรับโฉมครั้งใหญ่ “เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา” ยกระดับสู่การเป็นรีสอร์ทธีม Lost World ที่ครบวงจรและหรูหรากว่าเดิม ตอกย้ำความเป็น Themed Hotel แห่งแรกในประเทศไทย เสนอประสบการณ์การพักผ่อนแบบผจญภัยในดินแดนลึกลับ พร้อมสวนน้ำสุดอลังการ พื้นที่กิจกรรมสำหรับครอบครัว และห้องพักวิวทะเล รองรับการท่องเที่ยวเมืองพัทยาที่บูมอย่างต่อเนื่อง
คุณจุไรรัตน์ มงคลวงศ์สิริ
ส่องโฉมใหม่ “เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา” ครบครันทั้งกิจกรรม ความสนุกในที่เดียว
คุณจุไรรัตน์ มงคลวงศ์สิริ รองประธานฝ่ายขาย โรงแรม และรีสอร์ตในเครือเซ็นทารา กล่าวว่า ภายใต้งบประมาณ 1,4000 ล้านบาท “เซ็นทารา” ใช้ในการรีโนเวต “เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา” โฉมใหม่ที่แล้วเสร็จ 100% ไปเมื่อ ธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา มีเป้าหมายเพื่อรองรับการท่องเที่ยวของเมืองพัทยาที่คึกคักเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา โดยโฉมใหม่นี้จะเป็นการกลับมาภายใต้ธีม Lost World เพื่อนำเสนอประสบการณ์ผจญภัยครั้งใหม่ ในดินแดนโลกสาบสูญที่ลึกลับ
โดยมีไฮไลท์หลักอย่างสวนน้ำที่ถูกรีโนเวตใหม่ทั้ง 4 โซน ได้แก่ ทั้งเกาะภูเขาไฟอันน่าตื่นเต้น, เครื่องเล่นสไลเดอร์ขนาดยักษ์, สวนน้ำท่ามกลางป่าอันอุดมสมบูรณ์ และป่าหมอกอันน่าค้นหา นอกจากนั้นยังมีสวนสนุกลอสต์ เวิล์ด แอดเวนเจอร์ แลนด์ (Lost World Adventure Land) อีกทั้งสนามเด็กเล่นที่ประกอบไปด้วยสไลด์เดอร์, เครื่องเล่นกระโดด, แพเชือก และหลุมล่าหากระดูกไดโนเสาร์ ตั้งอยู่ใจกลางรีสอร์ท สำหรับเด็กและครอบครัวอีกด้วย
นอกจากนี้ยังปรับโฉมห้องพักและสวีทวิวทะเลทั้ง 555 ห้องใหม่ทั้งหมด ผสมผสานความทันสมัยเข้ากับธีม Lost World ของรีสอร์ทอย่างลงตัว โดยห้องพักทั้งหมดจะสามารถมองเห็นวิวทะเล (Sea View) ได้ทั้งหมด
โดยวางเป้าหมายเจาะกลุ่มลูกค้าพรีเมี่ยมและลักชัวรี่ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น กลุ่มครอบครัว คู่รัก ตลอดจนลูกค้ากลุ่มเบลเชอร์ (Bleisure) ผสมผสานการทำธุรกิจ และพักผ่อนไว้ในทริปเดียว ในการจัดเลี้ยงสัมนา กิจกรรมต่างๆมากยิ่งขึ้น โดยมีพื้นที่จัดกิจกรรมทั้งอินดอร์-เอาต์ดอร์ ตลอดจนห้องคอนเวนชัน รองรับงานเลี้ยงค็อกเทล 1,000 คน และจัดประชุมได้ถึง 800 คน
“ที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของพัทยาเหมาะหลายคนมองว่าคือสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับชายโสด แต่จากการท่องเที่ยวที่คึกคักขึ้น ทำให้เรามองว่าพัทยาก็สามารถเป็นเมืองพักผ่อนสำหรับครอบครัวที่ต้องการมาพักผ่อนได้ นั่นจึงทำให้เราเดินหน้าปรับภาพลักษณ์เพื่อเจาะกลุ่มนี้มากขึ้น ด้วยการให้นักท่องเที่ยวที่มาพักกับเราสามารถทำกิจกรรมได้ในโรงแรมแบบครบ จบในที่เดียวไม่ต้องออกไปไหน” คุณจุไรรัตน์กล่าว
ส่องศักยภาพ “เมืองพัทยา” เมื่อคู่แข่งมากขึ้น “เซ็นทารา” จึงต้องปรับโฉม
อย่างไรก็ตามหลังการปรับโฉมใหม่ในครั้งนี้ “เซ็นทารา” ได้ปรับเพิ่มราคาห้องพักเฉลี่ย 30% หรือเริ่มตั้งแต่ 6,000-10,000 บาทต่อห้องต่อคืน (แล้วแต่ช่วงเวลา) จากเดิมที่ราคาเฉลี่ย 5,000-8,000 บาทต่อห้องต่อคืน (และตั้งเป้าปรับเพิ่มปีละ 15-20%)โดยปีนี้ตั้งเป้าอัตราการเข้าพักไว้เฉลี่ย 80% (จากช่วง Weekend ที่มีอัตราการเข้าพัก 90-100%)
“อีกหนึ่งจุดเด่นของโรงแรมเราก็คือการมีชายหาดยาว (หาดวงศ์อมาตย์) 300 เมตร ซึ่งถือว่ายาวที่สุดเลยก็ว่าได้ ทำให้กลายเป็นจุดแข็งสำคัญที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบ โดยเฉพาะชาวยุโรป รัสเซีย ที่ชื่นชอบการทำกิจกรรมบริเวณชายหาด”
การปรับโฉมดังกล่าวนอกจะเป็นการปรับภาพลักษณ์ใหม่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวแล้ว ยังเป็นการรองรับการแข่งขันของโรงแรมในเมืองพัทยาที่มีการแข่งขันสูง มีคู่แข่งเกิดขึ้นจำนวนมากในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ทางโรมแรมต้องมีการปรับโฉมใหม่เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งนอกจากความอลังการของโฉมใหม่แล้ว การรีแบรนด์ครั้งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์แข่งขันกับตลาดโรงแรมพรีเมียมที่เติบโตอย่างรวดเร็วในพัทยา
การเปลี่ยนโฉมใหม่ของ “เซ็นทารา แกรนด์ มิราจ บีช รีสอร์ท พัทยา” ยังจะกลายเป็นอีกหนึ่งโมเดลสำคัญ ในการขยายไปยังตลาดต่าวประเทศ ไม่ว่าจะเป็น ดูไบ เวียดนาม และเพิ่งเปิดบริการแห่งที่ 4 ในมัลดีฟส์ ในชื่อ “โรงแรม เซ็นทารา มิราจ ลากูน มัลดีฟส์” เมื่อพฤศจิกายน 2567 โดยการขยายโมเดล “มิราจ” ที่มีจุดแข็งคือการเป็นธีมรีสอร์ทมาใช้ในการไปยังต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการขยายตลาดสู่กลุ่มครอบครัวได้มากขึ้น