HomeBrand Move !!กลยุทธ์ “Multy Beauty” จากร้านความงามห้องแถว สู่ Beauty Store ที่พร้อมทะยานรายได้พันล้าน

กลยุทธ์ “Multy Beauty” จากร้านความงามห้องแถว สู่ Beauty Store ที่พร้อมทะยานรายได้พันล้าน

แชร์ :

ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง สำหรับตลาด Health & Beauty เมืองไทยที่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนล้วนแต่ได้เห็นผู้เล่นมากหน้าหลายตา โดยมี “มัลตี้ บิวตี้” (Multy Beauty) ร้านความงามสัญชาติไทยคือหนึ่งในผู้เล่นหลักของที่เดินหน้าตลาดเข้าสู่ปีที่ 8 จากจุดเริ่มต้นจากร้านบิวตี้ขนาดเล็กในสยามสแควร์ สู่การเป็นมัลติแบรนด์สโตร์ที่มีเป้าหมายชัดเจนในการทำรายได้กว่า 300 ล้านบาท (ปี 2566 ) สู่เป้าหมายใหญ่ครั้งใหม่กับการโกยยอขาย1,000 ล้านบาทในอีก 3 ปีข้างหน้า

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

BrandBuffet ร่วมพูดคุยกับ “คุณไพลิน อึ๊งพลาชัย” กรรมการผู้จัดการ บริษัท มัลตี้ บิวตี้ จำกัด ถึงที่มาของการทำธุรกิจตลอดจนแผนงานในอนาคต ท่ามกลางการแข่งขันของธุรกิจความงามเมืองไทยที่ดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ

คุณไพลิน อึ๊งพลาชัย เล่าถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจว่า เกิดจากเจ้าตัวชื่นชอบการใช้เครื่องสำอางอยู่แล้ว โดยเฉพาะแบรนด์จากเกาหลี  แต่ช่วงเวลานั้นมักจะหาสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ยาก เพราะจำนวนแบรนด์ความงามเกาหลีที่เข้ามาทำตลาดในไทยยังมีแค่แบรนด์หลักอยู่

 

 

จากความชอบ บวกกับต้องการให้ผลิตภัณฑ์หาได้ง่ายขึ้นในไทย  เกิดเป็น ร้านบิวตี้สโตร์สาขาแรกของ “มัลตี้ บิวตี้” (Multy Beauty) ขึ้นที่สยามสแควร์ บนพื้นที่ 10 ตร.ม. โดยมุ่งจับกลุ่ม K-Beauty Lover อายุ 18-24 ปี ด้วยสินค้าเครื่องสำอางและสกินแคร์จากเกาหลีที่รวมแบรนด์ดังไว้ครบครันที่สุดในเวลานั้น การไม่มีคู่แข่งที่มีตำแหน่งชัดเจนในตลาด ทำให้ร้านกลายเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นอย่างรวดเร็ว

“ด้วยความที่เทรนด์ความงามเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราต้องมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา และต้องมีสินค้าใหม่ทุกอาทิตย์ เพื่อรองรับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการทุกวัน”

 

เปิด 3 กลยุทธ์ ฝ่ามรสุมตลาดความงาม ทะยานรายได้ 1,000 ล้านบาท

ขณะที่ภาพรวมการแข่งขันของมัลติแบรนด์สโตร์ ยังดุเดือดทุกปี จากตลาดความงามที่เริ่มฟื้นตัวหลังโควิดบวกกับความสวยงามคือสิ่งที่ผู้บริโภคมองหาตลอดเวลา ทำให้แบรนด์ต้องมีการปรับกลยุทธ์และการตลาดที่หลากหลายขึ้น

ในช่วงแรก “มัลตี้ บิวตี้ เป็น K-Beauty” ถือเป็นรีเทลสโตร์ที่ไม่ได้มีคู่แข่งโดยตรง ค่อนข้างเป็นสเปเชียลตี้สโตร์ที่เน้นเป็นแบรนด์เกาหลีส่วนใหญ่ 70% แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปเทรนด์ความงามเริ่มเปลี่ยนไวและมีมากขึ้น ทำให้ต้องมีการปรับสัดส่วนแบรนด์เกาหลีเหลือ 50-60% ที่เหลือแบรนด์ไทย ญี่ปุ่น และแบรนด์จีน

 

แม้ Multy Beauty เผชิญการแข่งขันที่ร้อนแรงในตลาดมัลติแบรนด์สโตร์ แต่ยังคงให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าและบริการอย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่:

  • สินค้าใหม่ทุกสัปดาห์: ทั้งแบรนด์เกาหลี ไทย ญี่ปุ่น และจีน รวมกว่า 300 แบรนด์
  • ปรับสัดส่วนสินค้าให้ตอบโจทย์เทรนด์: เพิ่มสินค้าแบรนด์ไทยและญี่ปุ่น พร้อมคงแบรนด์เกาหลีเป็นแกนหลักให้กลับมามีสัดส่วน 70% จากปัจจุบันที่มีอยู่ 50-60% ของร้าน
  • สัดส่วนสกินแคร์นำหน้าเมกอัพ: สกินแคร์ครองยอดขายกว่า 50% ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคอายุ 24 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มเป้าหมายหลักของแบรนด์

 

ยอมรับ K-pop เริ่มแผ่ว แต่ยังมีกระแส “ซีรี่ส์” ยังแรงดันกระแส K-Beauty ยังไปต่อ

ด้วยความที่ “มัลตี้บิวตี้” วางโพซิชั่นของแบรนด์ให้เป็นแบรนด์เครื่องสำอางจากเกาหลีมาตั้งแต่ช่วงแรกของการก่อตั้ง ทำให้สัดส่วนผลิตภัณฑ์ในร้านส่วนใหญ่เป็นแบรนด์เครื่องสำอางจากเกาหลีมากถึง 70% ทำให้การเติบโตที่ผ่านมา เป็นการเติบโตที่ได้รับอิทธิพลมาจาก K-POP  เป็นส่วนใหญ่

“กลุ่มมัธยมต้นเริ่มเห็นการแต่งหน้ามากขึ้น ดังนั้นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ทั้งสกินแคร์ เมกอัพ ก็ยังเป็นกลุ่มสินค้าที่มีดีมานด์สูง โดยในปีนี้เราจะทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้นผ่านงบการตลาด 10% ของยอดขาย รองรับความต้องการของกลุ่มลูกค้าหลักของ MULTY คือกลุ่ม Gen Z อายุ 18-24 แต่หลังจากเราขยายสาขามากขึ้น และขยายฐานโซเชียลมีเดีย ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าของเราครอบคลุมทั้งสามกลุ่มใหญ่ Gen Z และ Gen X โดยส่วนมากเป็นลูกค้าที่มองหาผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในเทรนด์ หรือ K-Beauty”

อย่างไรก็ตามแม้กระแส K-pop จะเริ่มแผ่วลง Multy Beauty ยังมั่นใจในกระแสซีรีส์เกาหลีที่ยังคงทรงพลังในการดึงดูดกลุ่มผู้บริโภค พร้อมตั้งเป้าขึ้นเป็น Top 3 ของแบรนด์ร้านมัลติบิวตี้สโตร์ในไทย ด้วยแผนกลยุทธ์เชิงรุก ภายใต้สโลแกน BEAUTY FOR EVERY “YOU”เริ่มตั้งแต่การเดินหน้าขยายฐานลูกค้าผ่านสินค้าที่หลากหลาย พร้อมกันนี้ยังเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้งบการลงทุน 10-20 ล้านบาทต่อสาขา โดยจะเน้นไปในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ก่อนที่ 2 ปีข้างหน้า จะขยายไปยังต่างจังหวัดมากขึ้นตามกลุ่มเป้าหมาย ทั้ง ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น  เบื้องต้นขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมด้านโลจิสติก

 

กางแผนปี 68 เร่งการตลาดแบบ O2O เจาะลูกค้าที่ชอบทดลองและนำเทรนด์

ส่วนกลยุทธ์ทางการตลาดในปี 2568 เราอยากเน้นเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ง่าย สะดวกมากขึ้น และกลยุทธ์การสร้างประสบการณ์ช็อป Offline to Online หรือ Online to Offline ซึ่งคิดว่าเรายังมีโอกาสอีกมาก ทั้งจากสมาชิกที่มีกว่า 300,000 ราย การทำ CRM เพื่อให้เกิดประสบการณ์ O2O คือการนำกลยุทธ์แบบออนไลน์และออฟไลน์มารวมเข้าด้วยกัน ก็เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่น่าทดลอง โดยเฉาะกลุ่มลูกค้า MULTY ที่ชอบทดลองสินค้าความงามที่นำเทรนด์อยู่แล้ว และมีพฤติกรรมช้อปปิ้งทั้ง Online และ Offline

ควบคู่กับการสื่อสารกับลูกค้าทางโซเชียลมีเดียผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ รวมถึงการพัฒนาอี-คอมเมิร์ซ (E-commerce) ให้มีความสามารถในการแข่งขันกับร้านอื่น ๆ ซึ่งในปัจจุบันความต้องการซื้อสินค้าออนไลน์มีมากกว่าเข้ามาเลือกซื้อที่สาขา ดังนั้นการทำอี-คอมเมิร์ซ โดยเฉพาะแอปพลิเคชัน MULTY ก็จะเพิ่มความสะดวก และสร้างความประทับใจให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ นอกจากนี้ยังมีการทำ Real Content และ Real Review ที่เป็นจุดเด่นของทางร้าน รวมถึงการทำโปรโมชันในเทศกาลต่าง ๆ โดยเฉพาะการเติบโตของแบรนด์ไทยในตลาดเครื่องสำอางและสกินแคร์ที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เข้ามาช้อป

“นอกจากนี้ช่องทางหน้าร้านแล้ว มัลตี้ บิวตี้ยังเน้นการทำตลาดในช่องทางออนไลน์มากขึ้น จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนยอดขาย 30% ซึ่งกลุ่มลูกค้าที่ซื้อผ่านออนไลน์มากที่สุดคือกลุ่มลูกค้าจากภาคอีสาน และภาคเหนือปเ้นหลัก และจากการเติบโตดังกล่าวทั้งอีสานและเหนือจะเป็นโลเคชั่นสำคัญที่ทางแบรนด์ให้การพิจารณาหากมีการขยายสาขาออกต่างจังหวัดในอนาคต”

อย่างไรก็ตาม เป้าหมาย อยากให้ร้านเป็นแบรนด์ของความเทรนด์ดี้  มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการทุกวัน โดยอีก 3 ปีข้างหน้าจะต้องมีรายได้ 1,000 ล้านบาท และกลายเป็นหนึ่งในร้านมัลติบิวตี้สโตร์เบอร์ต้นของไทยให้ได้


แชร์ :

You may also like