HomeBrand Move !!รู้จัก The Ordinary สกินแคร์ตัวดังจากแคนาดา หลังบุกตลาดไทยครั้งแรก และขายเกลี้ยงสต๊อกใน 2 สัปดาห์

รู้จัก The Ordinary สกินแคร์ตัวดังจากแคนาดา หลังบุกตลาดไทยครั้งแรก และขายเกลี้ยงสต๊อกใน 2 สัปดาห์

แชร์ :

ร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง สำหรับตลาดสกินแคร์เมืองไทย ที่ล่าสุด The Ordinary หนึ่งในผลิตภัณฑ์สกินแคร์ตัวดังจากแคนาดา ก็ได้ฤกษ์เข้ามาทำตลาดในไทยอย่างเป็นทางการ  โดยไม่ปล่อยให้สาวกรอนานอีกต่อไป

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

BrandBuffet พาทำความรู้จัก The Ordinary สกินแคร์แบรนด์ล่าสุดจากยักษ์ความระดับโลก Estee Lauder กับแผนงานการตลาดหลังเข้ามาทำตลาดในไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกให้มากขึ้น

1.The Ordinary เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 2559  ภายใต้บริษัทที่ชื่อว่า DECIEM เกิดขึ้นครั้งแรกจากความหงุดหงิดใจของผู้ก่อตั้งอย่าง Brandon Truaxe ที่มองว่าตลาดสกินแคร์ มีสินค้าหลากหลาย แตกต่าง และหลายระดับราคา  ทำให้ยากต่อการเลือกซื้อ ขณะเดียวกันในแบรนด์ก็มองหาส่วนผสม ปริมาณส่วนประกอบได้ยาก จึงพัฒนาแบรนด์ขึ้น โดยเน้นความ มินิมอล เรียบง่าย ดีไซน์ ผ่าน 3 สี อย่าง ขาว ดำ เทา ส่วนบรรจุภัณฑ์เน้นเรียบง่าย เน้นความเป็นวิทยาศาสตร์ บอกส่วนผสม วัตถุดิบและปริมาณอย่างชัดเจน โดยไม่ต้องพลิกหา

 

 

2.ก่อนที่ 2 ปี ต่อมายักษ์ความระดับโลก Estee Lauder เห็นศักยภาพของแบรนด์ จึงได้ทยอยเข้าซื้อหุ้นจาก DECIEM อย่างเป็นทางการ รวมมูลค่ากว่า 1.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากมองเห็นศักยภาพการเติบโต และขยายตลาดไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น ที่อังกฤษที่สามารถขึ้นแท่นเป็นแบรนด์สกินแคร์อันดับ 1 ได้ หรือในแอฟริกาใต้ก็สามารถขึ้นเบอร์ 1 ได้ของกลุ่ม Estee Lauder ภายใน 1 ปี

3.ในภูมิภาคเอเชีย The Ordinary เข้ามาทำตลาดแล้วที่ ญี่ปุ่น เกาหลี และไทย โดยบริษัทแม่เข้ามาลงทุนเอง ส่วนในสิงคโปร์ มาเลเซียก็มีวางจำหน่ายเช่นกัน แต่เป็นรูปแบบตัวแทนนำเข้ามาวางจำหน่ายตั้งแต่ 4 ปีที่ผ่านมา แต่จากนี้ไป Estee Lauder  จะทยอยดึงเข้ามาทำตลาดเองทั้งหมด

4.ส่วนในประเทศไทย The Ordinary เป็นที่รู้จักอย่างดีของสาวๆยุคใหม่ โดยเฉพาะ Gen Z ที่นิยม “พรีออร์เดอร์” หรือ ซื้อจากแม่ค้า ที่รับ “หิ้ว” ในต่างประเทศ (ที่นิยมที่สุดคืออังกฤษ)โดยมีผลิตภัณฑ์ที่ขึ้นชื่ออย่าง “เซรั่ม” ที่มัดใจลูกค้าคนไทยจนอยู่หมัด

 

กิตติยา อานันทนะสุวงศ์

กิตติยา อานันทนะสุวงศ์ Brand General Manager, The Ordinary ประเทศไทย

 

5.จากความนิยมอย่างล้นหลาม ประกอบกับพฤติกรรมของลูกค้าชาวไทยส่วนใหญ่เริ่มมีความรู้ ความเข้าใจ และเข้าถึงผลิตภัณฑ์สกินแคร์แล้วเกือบ 100% ทำให้ The Ordinary เริ่มศึกษาตลาดอยู่นาน จนตกผลึกและเข้ามาทำตลาดในไทยอย่างเป็นทางการในที่สุด โดยหนึ่งในโปรดักต์ฮีโร่อย่าง Glycolic Acid 7% Exfoliating Toner ขายดีจนหมดสต็อกในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ จากที่เตรียมไว้จำหน่าย 6 เดือน นั่นเพราะคนไทยรู้จักมาก่อนจากการพรีออร์เดอร์ และหิ้วมาก่อนหน้า

6.ส่วนราคาขายของที่ไทยจะแตกต่างจากประเทศในแถบอเมริกาเพียง 15% หรือหากผลิตภัณฑ์มีราคาเริ่มต้น 500 บาท ที่ไทยจะแพงกว่าราว 75 บาท ดังนั้นลูกค้าจึงไม่จำเป็นต้องหิ้วจากต่างประเทศให้หนักกระเป๋าอีกต่อไป

7. The Ordinary ไม่เน้นการโฆษณาผ่านมีเดียทั่วไป แต่เติบโตจากการบอกต่อแบบ ปากต่อปาก (Word of Mouth) ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าได้ผลจริง แบรนด์ได้รับความนิยมในหมู่ Gen Z อย่างมาก และเป็นที่รักของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับ “ส่วนผสมที่ใช่ ในราคาที่จับต้องได้” คุณกิตติยา อานันทนะสุวงศ์ Brand General Manager, The Ordinary ประเทศไทย บอกว่า กลยุทธ์ที่แบรนด์จะใช้นับจากนี้คือ “จริงใจ” และ  “โปร่งใส”  ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ใช้ทั่วโลก โดยลูกค้าไม่ต้องหาส่วนผสมให้ลำบากและสามารถเห็นชัดบนขวดทันที  นอกจากนี้ยังจะมีการนำการนำผลงานวิจัยและวิทยาศาสตร์มาใช้ในการพัฒนาแบรนด์  โดยจะไม่ใช้พรีเซ็นเตอร์แบบเด็ดขาด 

 

Glycolic Acid 7% Exfoliating Toner

Glycolic Acid 7% Exfoliating Toner สินค้าขายดีที่หมดสต็อกเพียง 2 สัปดาห์ หลังจากวางขายในไทย

 

8.ผลจากการไม่ใช้ พรีเซ็นเตอร์ และงานจ้างนายแบบ-นางแบบ ทำให้โปสต์เตอร์และป้ายโฆษณาทุกชิ้นของ The Ordinary ที่มีบุคคลในภาพ ทั้งหมดจะเป็นผู้บริหาร และพนักงานของแบรนด์เอง

9.ด้านบรรจุภัณฑ์ และชื่อสินค้า จะไม่ใช้ชื่อที่เน้นเห็นผลอย่าง Whitening แต่จะใช้ส่วนผสมมาเป็นหลัก เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการ เช่น Caffeine Solution 5% + EGCG ,Ascorbic Acid 8% + Alpha Arbutin 2% หรือ Glycolic Acid 7% Exfoliating Tone เนื่องจากมองว่าลูกค้าปัจจุบันมีความรู้ ความเข้าใจ Active Ingredient หรือมีความรู้เชิงลึกในเรื่องส่วนผสมมากขึ้น 

10.ปัจจุบัน The Ordinary วางขายในไทยที่ Eve and boy 16 สาขา , Sephora 12 สาขา และช่องทางออนไลน์ เช่น Shopee โดยตั้งเป้า เปิด Free-Standing Store ของตัวเองในอนาคต เพื่อให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด โดยปัจจุบันนำสินค้าเข้ามาขายในไทยแล้ว 24 รายการ และจะทยอยนำเข้ามาอีก 16 รายการใน

11.โดย The Ordinary ตั้งเป้าขึ้นเป็น Top 5 แบรนด์สกินแคร์ในตลาดแมส และกลายเป็น แบรนด์สกินแคร์อันดับ 1 ในตลาด  Prestige ภายใน 3 ปี จากนี้ไป


แชร์ :

You may also like