“คุณวัลลภา ไตรโสรัส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC
ท่ามกลางปัจจัยลบรุมเร้ารอบทิศในปี 2567 ทั้งการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังโตช้า และตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติยังต่ำเป้า แต่ “บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน)” หรือ “AWC” บิ๊กอสังหาริมทรัพย์ในเครือทีซีซี ของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี สามารถสร้างการเติบโตทั้ง “รายได้” และ “กำไร” สูงสุดในรอบ 5 ปี นับตั้งแต่ติดนามสกุลมหาชน ด้วยรายได้รวม 21,011 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,850 ล้านบาท ทั้งยังมั่นใจว่าปี 2568 นี้ยังทำผลงานนิวไฮได้
AWC มีกลยุทธ์อะไรดี ตามมาเจาะวิธีคิด “คุณวัลลภา ไตรโสรัส” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC พร้อมทั้งยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนธุรกิจนับจากนี้ที่ตั้งเป้าโต 2 เท่า หรือทรัพย์สินแตะ 300,000 ล้านบาทใน 5 ปี
คาดปี 68 นักท่องเที่ยวกลับมาได้เท่าก่อนโควิด
ต้องบอกว่า ปี 2567 ถือเป็นปีที่แข็งแกร่งมากของ AWC โดยมีรายได้รวม 21,011 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.5% เมื่อเทียบกับปี 2566 และ กำไรสุทธิ 5,850 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.6 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของทุกกลุ่มธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมและบริการ มีรายได้เติบโตถึง 20% จากรายได้เฉลี่ยต่อห้องพักที่มีการเติบโตขึ้นเป็น 4,200 บาทต่อคืน เพิ่มขึ้น 14.8% และมีอัตราการเข้าพักตลอดปีเฉลี่ย 72% ส่วนธุรกิจคอมเมอร์เชียลมีรายได้เติบโตอยู่ที่ 8% จากการปล่อยพื้นที่เช่าใหม่
“ก่อน IPO เราวางสัดส่วนรายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวไว้ 50% และธุรกิจคอมเมอร์เชียล 50% แต่ตอนนี้เราเห็นศักยภาพของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จึงปรับสัดส่วนรายได้จากธุรกิจท่องเที่ยวอยู่ที่ 60% และคอมเมอร์เชียล 40%”
คุณวัลลภา บอกด้วยว่า แม้ตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนจะยังไม่กลับมาตามเป้า แต่จากการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง ทำให้เชื่อว่าในปี 2568 อัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) จะกลับไปที่ระดับก่อนโควิดแน่นอน นั่นคือ 75% นั่นจึงทำให้ AWC มั่นใจ และเตรียมบุกตลาดอย่างหนัก
ทุ่ม 8.7 พันลบ.ปั้นบิ๊กโปรเจคกลางรัชดา
โดยล่าสุดได้ทุ่มงบกว่า 8,704 ล้านบาท เข้าซื้อบริษัท เลอ คองคอร์ด โฮเต็ล จำกัด เจ้าของโรงแรมสวิสโซเทล กรุงเทพ รัชดา เพื่อพัฒนาเป็น AWC’s Lifestyle Destination ผสมผสาน Wellness ในชื่อ “Jubilee Prestige Tower” ซึ่งจะประกอบด้วยอาคารสำนักงานไลฟ์สไตล์รูปแบบใหม่และโรงแรมหรูภายใต้แบรนด์ JW Marriot ที่บริหารงานโดยแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล โดยจะเริ่มทยอยปรับปรุงห้องพักและออฟฟิศใหม่ พร้อมทั้งเพิ่มบริการใหม่ๆ เช่น Wellness เข้ามา เพื่อมอบประสบการณ์แบบ Luxury Bleisure หลังจากนั้นจะทำการรีแบรนด์ใหม่เป็น JW Marriot ซึ่งจะทำให้ราคาห้องพักถูกปรับจาก 2,000 กว่าบาท เป็นระดับ 4,000-5,000 บาท และ 7,000 บาทใน 3 ปีข้างหน้า โดยคาดว่าทั้งหมดจะเสร็จภายในปี 2571
นอกจากนี้ AWC ยังเปิดตัวโรงแรมมีเลีย พัทยา โฮเต็ล ประเทศไทย ซึ่งเป็นโครงการแรกของ AWC ในพัทยา ตามด้วยโรงแรมพัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา, โรงแรมแฟร์ มอนท์ แบงคอง สุขุมวิท, โครงการ The Empire Wellness ณ อาคารเอ็มไพร์, โครงการ ลานนาทีค เดสทิเนชั่น เฟส 1 จังหวัดเชียงใหม่ และโครงการ Jurassic World: The Experience ณ โครงการเอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น เพื่อพัฒนาโครงการคุณภาพระดับสากล และสนับสนุนอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และท่องเที่ยวของไทยสู่เวทีโลก
ตั้งเป้า 5 ปี ดันมูลค่าทรัพย์สินแตะ 3 แสนล้าน
แม้ว่าในปีที่ผ่านมาจะทำสถิตินิวไฮ แต่คุณวัลลภา ยอมรับว่า ธุรกิจโรงแรมใน จ.เชียงใหม่ยังมีความท้าทายอยู่มาก เพราะราคาห้องพักยังทำได้ไม่สูง ปีนี้จึงต้องเร่งพัฒนาโครงการลานนาทีคเพื่อที่จะดึงกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพมาที่เชียงใหม่มากขึ้น ซึ่งจะช่วยผลักดันให้เรทของห้องพักที่เชียงใหม่ขยับขึ้นไปด้วย
“เราจะดึง Art Concept มาเป็นแม่เหล็กดึงดูดนักท่องเที่ยว เพราะการลงทุนในอาร์ตถือเป็นตลาดใหญ่มาก โดยอาร์ตเทรดใหญ่สุดอยู่ที่นิวยอร์ก อันดับ 2 อยู่ที่ฮ่องกง ส่วนประเทศไทยมีศิลปินและเครือข่ายของอาร์ตเยอะมาก เราก็เตรียมจะบิวท์เชียงใหม่ พร้อมกับพานักลงทุนกลุ่มอาร์ตมาที่เชียงใหม่ให้มากขึ้น”
จากการทยอยเปิดโครงการคุณภาพใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ทำให้คุณวัลลภาเชื่อว่าผลประกอบการของ AWC ในปีนี้น่าจะได้นิวไฮต่อเนื่อง ประกอบกับอนาคตยังมีบิ๊กโปรเจคที่เตรียมเข้าซื้ออีกหลายโครงการ ก็จะทำให้ AWC เติบโตแบบก้าวกระโดด และเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินเป็นเท่าตัวหรือมูลค่าแตะ 300,000 ล้านใน 5 ปี จากปัจจุบันมูลค่าอยู่ที่ 198,726 ล้านบาท
ติดตามพวกเราได้ที่ LINE