HomePR Newsกรณีศึกษา “ร่าง พ.ร.บ. ควบคุมการตลาดอาหาร-เครื่องดื่มที่ส่งผลต่อสุขภาพเด็ก” กับผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโฆษณา

กรณีศึกษา “ร่าง พ.ร.บ. ควบคุมการตลาดอาหาร-เครื่องดื่มที่ส่งผลต่อสุขภาพเด็ก” กับผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโฆษณา

แชร์ :

ร่าง พ.ร.บ. ควบคุมการตลาดอาหาร-เครื่องดื่มที่ส่งผลต่อสุขภาพเด็กกรณีศึกษา “ร่าง พ.ร.บ. ควบคุมการตลาดอาหาร-เครื่องดื่มที่ส่งผลต่อสุขภาพเด็ก” กับผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโฆษณา กลายเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่น่าจับตาในแวดวงอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สำหรับ “ร่างพระราชบัญญัติควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก” (อาหารที่มีปริมาณน้ำตาล ไขมัน และโซเดียมสูง) ซึ่งมีเจตนารมณ์ เพื่อปกป้องและคุ้มครองเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี จากการทำการตลาดผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อทำให้เด็กไม่ต้องพบเห็นการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ

หนึ่งในประเด็นสำคัญที่ควรถูกหยิบมาวิเคราะห์อย่างเข้มข้นคือ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่ออุตสาหกรรมโฆษณา ที่ถือเป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย จากข้อจำกัดต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะเม็ดเงินในตลาดโฆษณาไม่ได้สะท้อนแค่การเติบโตของธุรกิจ แต่ยังเชื่อมโยงกับโอกาสการจ้างงาน การสร้างนวัตกรรม และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาพรวม

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ส่องอุตสาหกรรมโฆษณากับ ร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการตลาดอาหาร-เครื่องดื่มที่ส่งผลต่อสุขภาพเด็ก

ข้อมูลล่าสุดจากกลุ่มมีเดีย อินเทลลิเจนซ์ ผู้ให้บริการจัดทำโฆษณาให้ธุรกิจประเภทต่างๆ และสร้างสรรค์สื่อ คาดการณ์ว่าในปี 2568 อุตสาหกรรมโฆษณาจะมีมูลค่าสูงถึง 90,879 ล้านบาท เติบโต 4.5% จากปี 2567 โดยมีปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการขับเคลื่อนเศรษฐกิจผ่านสื่อดิจิทัล

ส่วนสื่อประเภทอื่นๆ คาดการณ์หดตัวทั้งหมด หลังจากที่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผู้คนหันไปนิยมสื่อออนไลน์ โซเชียลมีเดีย โดยอุตสาหกรรมโทรทัศน์ในปี 2568 คาดว่าจะมีมูลค่า 30,225 ล้านบาท ลดลงราว 7% เนื่องจากเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันที่รุนแรง ทำให้ผู้บริโภคหันไปบริโภคคอนเทนต์บนแพลตฟอร์มออนไลน์มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม หากร่างพระราชบัญญัตินี้ได้รับการบังคับใช้ อุตสาหกรรมโฆษณาอาจต้องเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ต่อเนื่องอีกระลอก กล่าวคือ เม็ดเงินในอุตสาหกรรมโฆษณาอาจลดลงอย่างมาก เพราะการจำกัดการโฆษณาในกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มบางส่วน อาจนำไปสู่การลดลงของงบประมาณโฆษณาในสื่อดิจิทัลและสื่อดั้งเดิม ทั้งจากอุตสาหกรรมโฆษณา สื่อดิจิทัล สื่อโทรทัศน์ และธุรกิจสร้างสรรค์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งระบบให้ชะลอตัวมากขึ้น และกระทบต่อภาคเศรษฐกิจโดยรวมซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจสำคัญของประเทศไทยไม่เพียงเท่านี้ ยังมีอีกหนึ่งประเด็นที่เชื่อมโยงผลกระทบที่มีต่อ “อุตสาหกรรมโฆษณา” ให้มีความท้าทายมากยิ่งขึ้นนั่นคือ “นิยามอายุ” ของเด็ก และผลกระทบเชิงเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้น โดยหนึ่งในประเด็นที่สร้างคำถามมากที่สุดคือการนิยามคำว่า “เด็ก” ในร่างกฎหมาย ซึ่งกำหนดว่าเป็นบุคคลที่อายุต่ำกว่า 18 ปี แม้จะสอดคล้องกับกฎหมายบางฉบับในประเทศไทย แต่กลับไม่สอดคล้องกับนิยามสากล ซึ่งมักกำหนดช่วงอายุไว้ที่ 12-16 ปี

ทั้งหมดอาจกลายเป็นข้อจำกัดที่ไม่จำเป็น และสร้างความลำบากต่อภาคธุรกิจในการปรับตัว ทั้งการออกแบบโฆษณา การผลิตสินค้า และการบริหารต้นทุน ซึ่งทั้งหมดจะย้อนกลับมายังการเติบโตและส่งผลให้เม็ดเงินโฆษณาให้ลดลง

ปรับตัว 2 ฝ่าย ดูแลสุขภาพเด็ก-สร้างโอกาสธุรกิจ ควบคู่กันไป

อย่างไรก็ดีแม้ร่างพระราชบัญญัตินี้จะถูกออกแบบเพื่อแก้ปัญหาโรคอ้วนและภาวะน้ำหนักเกินในเด็ก ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีและสอดคล้องกับเทรนด์สุขภาพในปัจจุบัน แต่ก็ยังมีข้อถกเถียงสำคัญที่ควรพิจารณาเพิ่มเติม

1. นิยามของคำว่า “เด็ก” : ในร่างพระราชบัญญัติ เด็กถูกนิยามว่าเป็นบุคคลที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ซึ่งขัดแย้งกับมาตรฐานสากลที่กำหนดช่วงอายุไว้ที่ 12-16 ปี ดังนั้นควรพิจารณาปรับนิยามอายุให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการบริโภคและการเรียนรู้ของเด็กในปัจจุบัน พร้อมส่งเสริมความรู้ด้านโภชนาการเพื่อให้พวกเขามีวิจารณญาณในการเลือกซื้อสินค้า

2. ความชัดเจนในเกณฑ์การระบุอาหารและเครื่องดื่มที่ควบคุม : ไม่มีคำจำกัดความที่ชัดเจนในร่างกฎหมายว่าอาหารหรือเครื่องดื่มประเภทใดที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก จึงอาจนำไปสู่ความครอบคลุมที่กว้างเกินไปได้

3. ประสิทธิผลของนโยบาย : แม้การโฆษณาจะส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคในระดับหนึ่ง แต่การควบคุมโฆษณาเพียงอย่างเดียวอาจไม่ได้แก้ปัญหาโรคอ้วนในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากปัญหานี้เกี่ยวข้องกับปัจจัยหลากหลาย เช่น การศึกษาเรื่องโภชนาการ พฤติกรรมการบริโภคในครอบครัว และการเข้าถึงอาหารที่เหมาะสม

การออกร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ก่อให้เกิดคำถามต่อบางข้อกำหนด โดยเฉพาะนิยามอายุ ซึ่งเป็นประเด็นที่สามารถปรับให้ยืดหยุ่นได้ เพื่อให้กฎหมายมีความสมดุลระหว่างการคุ้มครองเด็กและการสนับสนุนเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ ผู้ประกอบการอาหารและเครื่องดื่มเองก็มีบทบาทสำคัญในการร่วมแก้ปัญหานี้ได้ เช่น ปรับสูตรผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เหมาะสมกับโภชนาการเด็ก การให้ข้อมูลโภชนาการที่ชัดเจน บนบรรจุภัณฑ์และสื่อโฆษณา ตลอดจนรณรงค์สร้างความรู้เรื่องโภชนาการ ในโรงเรียนและชุมชน ส่วนภาครัฐและองค์กรที่เกี่ยวข้องควรพิจารณามาตรการรอบด้าน เช่น การสนับสนุนกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพ และการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการบริโภคอาหารอย่างเหมาะสม

ทั้งนี้ ภาครัฐควรพิจารณาแนวทางที่ไม่จำกัดการโฆษณาอย่างเข้มงวดจนเกินไป แต่เน้นไปที่การกำหนดมาตรฐานโฆษณาที่ชัดเจน การให้ความรู้ความเข้าใจแก่กลุ่มเป้าหมาย เช่น การแสดงข้อมูลโภชนาการที่ถูกต้อง โปร่งใส และไม่หลอกลวง หรือสนับสนุนการโฆษณาเชิงบวกที่ส่งเสริมสุขภาพ

ท้ายที่สุด ไม่ว่าผลการพิจารณาร่าง พ.ร.บ. ดังกล่าวจะออกมาในรูปแบบไหน แต่ทุกฝ่ายล้วนมีเจตนารมณ์ที่ดีในการป้องกันโรคภัยแก่เด็กในวัยที่อาจยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่การนิยามอายุที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และผลกระทบต่อเม็ดเงินโฆษณาในระบบเศรษฐกิจ อาจทำให้ร่างกฎหมายนี้กลายเป็นข้อจำกัดที่ไม่พึงประสงค์ ดังนั้นภาครัฐจึงควรนำความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนมาประกอบการพิจารณาอย่างจริงจรัง พร้อมปรับปรุงข้อกำหนดบางประการให้เหมาะสม เพื่อสร้างสมดุลระหว่างการดูแลสุขภาพเด็กและการสนับสนุนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนต่อไป


แชร์ :

You may also like