HomeSponsoredผ่ากลยุทธ์ “PFS” มุ่งสู่ธุรกิจอาหารยั่งยืน รับมือความท้าทายรอบด้าน ตั้งเป้ารายได้ 7,000 ล้านบาทใน 5 ปี

ผ่ากลยุทธ์ “PFS” มุ่งสู่ธุรกิจอาหารยั่งยืน รับมือความท้าทายรอบด้าน ตั้งเป้ารายได้ 7,000 ล้านบาทใน 5 ปี

แชร์ :

“บริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จํากัด” หรือ “PFS” เป็นผู้ผลิตอาหารอบแห้งแบบครบวงจร แบรนด์ไทยที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 30 ปี โดยนำเทคโนโลยีการถนอมอาหารล้ำสมัยมาใช้ในการผลิตทุกขั้นตอน จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารอบแห้งออกมาหลากหลาย ตอบความต้องการของตลาดทุกกลุ่ม ตั้งแต่ผู้บริโภคในครัวเรือน ร้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมไปถึงกลุ่มอุตสาหกรรม จนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเทคโนโลยีการถนอมอาหารครบวงจรในไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ADFEST 2024

Santos Or Jaune

ไม่เพียงเท่านั้น ยังขยายตลาดไปยังต่างประเทศกว่า 19 ประเทศทั่วโลก แน่นอนว่า เบื้องหลังความสําเร็จเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการสั่งสมประสบการณ์มานานเท่านั้น ทว่ายังมาจากหลายส่วนผสมที่ปรุงรสให้อาหารอบแห้งของ PFS ถูกปากโดนใจคนทั่วโลก Brand Buffet ชวนมาคุยกับ “คุณวรภาส มหัทธโนบล” กรรมการผู้จัดการ และ “คุณภาณุ มหัทธโนบล” ผู้จัดการทั่วไป ของ PFS เพื่อทำความรู้จักตัวตนและแบรนด์ PFS กันมากขึ้นว่าทำไมถึงครองใจผู้บริโภคทั่วโลกมายาวนาน ในงาน “PFS’s 30 Years : SYNERGY OF SUCCESS” พร้อมเจาะลึกยุทธศาสตร์การทำตลาดนับจากนี้ที่ตั้งเป้าสู่การเป็นผู้ผลิตอาหารยั่งยืน

เริ่มจากพนักงาน 18 คน รายได้ปีแรก 17 ล้านบาท

จุดเริ่มต้นของ PFS ก่อตั้งขึ้นในปี 1995 โดย “คุณวรภาส” ซึ่งก่อนหน้านั้นได้ทำธุรกิจเทรดดิ้ง จึงเห็นโอกาสของตลาดอาหารอบแห้งจากความต้องการผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่มาก ขณะที่ผู้เล่นในตลาดกลับมีจำนวนไม่มาก เนื่องจากราคาของเทคโนโลยี Freeze Dry ค่อนข้างสูง จึงตัดสินใจก่อตั้งบริษัท พรีเซิร์ฟ ฟู้ด สเปเชียลตี้ จํากัด ขึ้นมาเพื่อผลิตอาหารอบแห้ง ด้วยพนักงานเพียง 18 คน

พร้อมกับเลือกมหาชัยเป็นที่ตั้งโรงงานแห่งแรก เพื่อผลิต ซีฟู้ดอบแห้งในรูปแบบซอง ส่งให้กับบริษัทบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในประเทศญี่ปุ่นเป็นผลิตภัณฑ์แรก ปรากฎว่าสร้างยอดขายในปีแรกได้ถึง 17 ล้านบาท และภายใน 3 ปี ยอดขายเพิ่มเป็น 100 ล้านบาท ต่อมาจึงพัฒนาเนื้อสัตว์อื่นๆ และผักอบแห้งต่างๆ เพิ่มขึ้น รวมถีงขยาย Pack Size จากแบบซองมาเป็นแบบถ้วย เพื่อขยายฐานลูกค้า

หลังจากนั้นในปี 1999 ถือเป็นอีกหนึ่งพัฒนาการสำคัญของแบรนด์ ด้วยการขยายโปรดักต์ไลน์มาสู่ “ครีมเทียม” ผ่านการนำเทคโนโลยีการทำแห้งแบบพ่นฝอย (Spray Dry) มาผลิตสินค้า ส่งผลให้เจาะตลาดเครื่องดื่มและเบเกอรี่ได้เพิ่มขึ้น

“คุณพ่อไปซื้อกิจการเล็กๆ มารายหนึ่ง ตอนนั้นยังไม่มีใครรู้เลยว่าจะทำตลาดให้อยู่รอดได้อย่างไร แต่เราเห็นร้านค้าต้องการครีมเทียมขนาด 1 กิโลกรัม แต่ยังไม่มีแบรนด์ไหนผลิตมาขาย จึงเริ่มพัฒนาครีมเทียมไซส์นี้ใส่ซองอลูมิเนียมโดยยังไม่มีแบรนด์ และให้เซลล์ 2-3 คนวิ่งขายในพื้นที่ต่างจังหวัด ประมาณ 1-2 ปี ก็เริ่มมียอดขาย” คุณภาณุ บอกถึงการต่อยอดธุรกิจ

แตกไลน์สู่สินค้าคอนซูเมอร์

เมื่อยอดขายดีขึ้น จึงเริ่มต้นที่จะสร้างแบรนด์ครีมเทียมอย่างจริงจัง เลยเป็นที่มาของการสร้างแบรนด์ “Coffee Dreamy” จากนั้นในปี 2012 ได้รีแบรนด์ ปรับแพคเกจจิ้งใหม่ พร้อมดึง “เกรท-วรินทร” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำของผู้บริโภคในวงกว้าง รวมทั้งสร้างรายได้เติบโตเป็น 2,000 ล้านบาท

ความสำเร็จจากการบุกตลาดเครื่องดื่มและเบเกอรี่ ทำให้ PFS เริ่มขยายธุรกิจไปยังหลายกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นชานมไข่มุก, ครีมเทียมน้ำมันรำข้าว และโยเกิร์ตสมูทตี้อบกรอบภายใต้แบรนด์ “Bite Me” เพื่อเจาะกลุ่มคอนซูเมอร์ ควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจไปยังตลาดอาหารสัตว์ ด้วยการเปิดตัวสแน็คสำหรับสัตว์เลี้ยง เพื่อตอบพฤติกรรมผู้บริโภคที่หันมาเลี้ยงสัตว์เหมือนลูกมากขึ้นตั้งแต่ในช่วงโควิด จนทำให้ตลาดอาหารสัตว์ขยายตัวอย่างรวดเร็ว

“การ Diversify ไปยังตลาดใหม่ๆ ไม่เพียงทำให้ PFS มีผลิตภัณฑ์อาหารอบแห้งครอบคลุมความต้องการผู้บริโภคที่แตกต่าง ยังช่วยผลักดันรายได้ให้เติบโตต่อเนื่อง โดยในปี 2010 มีรายได้ 1,332 ล้านบาท และในปี 2013 มีรายได้ 2,272 ล้านบาท จากนั้นในปี 2024 รายได้ขยับมาเป็น 4,600 ล้านบาท ทั้งยังส่งสินค้าไปตลาดต่างประเทศถึงปัจจุบันกว่า 19 ประเทศทั่วโลก ตลาดหลักที่สร้างรายได้คือ ญี่ปุ่น อเมริกา และไต้หวัน” คุณภาณุ บอกถึงความสำเร็จ

สูตรลับความสำเร็จคือ คุณภาพ-นวัตกรรม

สิ่งที่ทำให้ PFS แจ้งเกิด และเติบโตมาตลอด 30 ปี คุณภาณุ บอกว่า ปัจจัยหลักมาจาก “คุณภาพ” การถนอมอาหาร เพราะคำว่าคุณภาพในวงการอาหาร ไม่ได้หมายถึงรสชาติอร่อยและได้คุณค่าสารอาหารครบ แต่รวมไปถึงการดูแลข้อมูลลูกค้าไม่รั่วไหล ซึ่งส่งผลให้เกิดความ “เชื่อใจ” และซื้อสินค้าต่อเนื่องมาถึงวันนี้

อีกปัจจัยสำคัญที่สร้างการเติบโตให้กับแบรนด์ คือ ความหลากหลายของพอร์ตโฟลิโอสินค้า เพราะถึงแม้จะมีคู่แข่งทางตรงไม่มาก แต่ไม่เคยหยุดมองหาโอกาสสร้างการเติบโต ด้วยการวิจัยและพัฒนาสินค้าให้หลากหลาย รวมถึงนำเทคโนโลยีล้ำสมัยมาใช้ในการผลิตทุกขั้นตอน โดยล่าสุดได้นำเทคโนโลยี Individual Quick Frozen (IQF) มาช่วยคงความสดของผักและผลไม้ให้ยาวนาน จึงทำให้สินค้าและแบรนด์เข้าไปอยู่ในทุกโอกาสของการบริโภค

ความท้าทายใหม่รอบด้าน

ถึงวันนี้ PFS จะเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังเป็นผู้นำเทคโนโลยีการถนอมอาหารครบวงจร แต่ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารต้องเจอกับความท้าทายใหม่รอบด้าน ทั้งสภาพอากาศแปรปรวนหนัก ซึ่งไม่เพียงจะทำให้โลกร้อนขึ้น แต่ยังส่งผลให้แหล่งอาหารตามธรรมชาติลดลง สวนทางกับการเพิ่มขึ้นของประชากรโลก ความต้องการบริโภคอาหารจึงเพิ่มสูงขึ้น และส่งผลให้ภายในปี 2050 ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิษุวัต สงนวล หัวหน้าภาควิชาพฤกศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่า ผู้ผลิตต้องผลิตอาหารเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า ทำให้มีแนวโน้มที่จะขาดแคลนอาหารได้

ขณะเดียวกันไทยยังเข้าสู่สังคมสูงวัย และการระบาดของโควิด ทำให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนการกินอาหาร ไม่ได้ต้องการแค่อาหารอร่อย แต่ยังเลือกกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพและโลกมากขึ้น ดังเช่น คุณเชอรี่ – เข็มอัปสร สิริสุขะ นักแสดงมากความสามารถและผู้ก่อตั้ง “สิริไท” แบรนด์ข้าวพันธุ์พื้นเมืองออแกนิก ที่หันมาบริโภคเนื้อสัตว์น้อยลง และเลือกกินอาหารตามฤดูกาล เพื่อช่วยโลกลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและขยะจากเศษอาหาร ทั้งยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพ

ท่ามกลางความท้าทายเหล่านี้ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วิษุวัต และคุณเชอรี่ มองว่า หากผู้ผลิตอาหารปรับตัวสู่ อาหารแห่งอนาคต (Future Food) และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการผลิตเพื่อให้อาหารปลอดภัยและมีอายุยาวนานขึ้น จะเป็น “โอกาส” ให้กับผู้ประกอบการ เพราะ Future Food เป็นเมกกะเทรนด์ที่จะเข้ามาช่วยแก้ปัญหาความมั่นคงทางอาหาร และสอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่ ทำให้ตลาดนี้เติบโตมาก อีกทั้งไทยยังตั้งเป้าจะผลิตและส่งออก Future Food อยู่ที่ 15 Billion US หรือราว 5 แสนล้านบาท ภายในปี 2570 จากปัจจุบันอยู่ที่ 300,000 ล้านบาท โดยเฉพาะ Plant-Based Food ไทยตั้งเป้าจะเป็น Plant-Based Hub

ปรับโลโก้ โฟกัสอาหารสุขภาพ ตอกย้ำ “ผู้ผลิตอาหารยั่งยืน”

เมื่อเป็นเช่นนี้ ก้าวสู่ทศวรรษที่ 4 ของ PFS จึงต้องปรับกลยุทธ์ใหม่ และนั่นเป็นที่มาของการรีแบรนด์ครั้งใหญ่ เพื่อขยับสู่การดำเนินธุรกิจอาหารอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งบอกเล่าความหมายและเป้าหมายของ PFS ให้ชัดเจนมากขึ้น โดยสิ่งที่เราจะเห็นอย่างแรกเลยคือ การปรับโลโก้ใหม่ เพื่อแสดงถึงพันธกิจของ PFS ที่มุ่งมั่นสู่การผลิตอาหารอย่างยั่งยืน

โดยการออกแบบเน้นความเรียบง่าย แต่ทันสมัยมากขึ้น และเต็มไปด้วยความหมาย โดยยังคงรักษารูป “เชฟ” บนโลโก้ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเก็บรักษารสชาติวัตถุดิบที่ดี แต่ปรับให้ดูหนุ่มและโดดเด่นขึ้น รวมถึงปรับสีของตัวอักษร PFS ให้สอดรับกับความมุ่งมั่นของธุรกิจ โดยใช้สี “สีเขียว” สื่อถึงคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ส่วน “สีน้ำเงิน” สื่อถึงความมุ่งมั่นในการยกระดับสุขภาพของทุกชีวิตบนโลก และ “สีฟ้า” สะท้อนความไม่หยุดนิ่งในการพัฒนานวัตกรรมอาหารให้ตอบความต้องการลูกค้าทุกกลุ่ม พร้อมกับรูปหัวใจบนตัวอักษร S ที่สะท้อนถึงแนวทางการผลิตอาหารด้วยความใส่ใจโดยใช้วัตถุดิบคุณภาพ พร้อมกับการดูแลสิ่งแวดล้อม

การรีแบรนด์ใหม่ครั้งนี้ ไม่ใช่แค่การปรับโลโก้เท่านั้น แต่ยังปรับไปถึงผลิตภัณฑ์ โดยคุณภาณุ บอกว่า แนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์นับจากนี้จะโฟกัส “Health Food” มากขึ้น ในเบื้องต้นจะนำร่องด้วย “Health Snack” เนื่องจากเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่าย โดยในปีนี้มีแผนจะพัฒนาสินค้าใหม่ 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.Bite Me Yogurt Smoothie Freeze Dry 3 สูตร 2. Dreamy Fruit Tea with Stevia 5 รสชาติ และ 3. Dreamy Natural Oat Milk Creamer เป็นครีมเมอร์จากน้ำมันมะพร้าว และโปรตีนนมโอ๊ต จากปัจจุบันบริษัทมีสินค้า Health Food อยู่ 6 ผลิตภัณฑ์

ขณะเดียวกันยังจะขยายตลาดสู่กลุ่มผู้บริโภคมากขึ้นด้วย หลังจากเป็น Back of House ให้บริษัทต่างๆ มานาน โดยจะใช้แบรนด์ Dreamy เป็นหัวหอกในการเข้าถึงตลาด B2C เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคหันมาทำเบเกอรี่และเครื่องดื่มเองที่บ้านมากขึ้นตั้งแต่โควิด แต่ที่ผ่านมา Dreamy เน้นเจาะกลุ่มเบเกอรี่และร้านเครื่องดื่ม ผู้บริโภคจึงรู้จักแบรนด์ไม่มาก โดยในปีนี้จะมีการรีแบรนด์อีกครั้งและปรับแพคเกจจิ้งให้ทันสมัย เพื่อให้ผู้บริโภคได้รู้จักแบรนด์และสินค้ากันมากขึ้น

เรียกได้ว่าเป็นการปรับธุรกิจครั้งใหญ่ของ PFS ให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคและอุตสาหกรรมอาหารวันนี้ ซึ่งคุณภาณุเชื่อว่า จะช่วยให้ผู้บริโภคจดจำตัวตนของ PFS ได้อย่างชัดเจนขึ้น ทั้งยังสร้างการเติบโตให้กับ PFS มากขึ้น โดยตั้งเป้ารายได้ 7,000 ล้านบาทภายในปี 2030 และขยายสัดส่วนรายได้ Healthy Food มากขึ้นเป็น 30% จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ที่ 15%


แชร์ :