จากการศึกษาของ New York University และ Princeton University พบว่า กลุ่มผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะแชร์ข่าวปลอม (Fake News) มากกว่าคนในวัยหนุ่ม-สาว โดยมีปัจจัยเรื่องของระดับการศึกษา เพศ เชื้อชาติ และรายได้เป็นองค์ประกอบ อย่างไรก็ตาม เรื่องของ “อายุ” เป็นปัจจัยเบื้องต้นที่มีผลต่อพฤติกรรมดังกล่าวมากที่สุด
งานวิจัยในครั้งนี้ส่วนหนึ่งต้องการศึกษาเรื่องราวที่เกิดขึ้นจากกรณีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นการชิงชัยกันของ Donald Trump และ Hillary Clinton ในปี 2016 ซึ่งมีหลักฐานว่ามีการใช้ข่าวปลอม รวมทั้งวิธีการซื้อโฆษณาในสื่อออนไลน์เพื่อชี้นำความคิดของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง
โดยการศึกษานี้ ทำโดยบริษัทวิจัย YouGov ได้เก็บข้อมูลกับกลุ่มเป้าหมาย 3,500 คน ทั้งก่อนเลือกตั้ง 1 เดือนและหลังเลือกตั้ง และเลือกคนที่เล่น เฟซบุ๊กและไม่เล่นเฟซบุ๊ก โดยขออนุญาตกลุ่มเป้าหมายติดตั้งแอปพลิเคชันที่ทำให้เข้าถึงข้อมูลไม่ว่าจะเป็น โปรไฟล์ ศาสนา ความเห็นทางการเมือง หรือแม้แต่ไทม์ไลน์ และเมื่อผู้ใช้งานอนุญาตแล้วทีมเก็บข้อมูลก็เข้าถึงสิ่งที่พวกเขาแชร์บนเฟซบุ๊กได้ จนเป็นที่มาของตัวเลขที่ว่า
“มีเพียง 8.5% ของผู้ใช้งานเท่านั้นที่แชร์ข่าวปลอม”
แต่เมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียด พบว่า จำนวนนี้ผู้ที่ชื่นชอบพรรค Republicans แชร์ข่าวปลอม 18% ส่วนแฟนๆ ของพรรค Democrats แชร์ข่าวปลอม 22% รวมทั้ง
11% ของผู้ใช้งานที่ซึ่งเป็นผู้ที่มีอายุ 65 ปี ขึ้นไปแชร์ข่าวลวง ขณะที่คนอายุ 18-29 ปี แชร์ข่าวปลอมแค่ 3% และเมื่อเทียบกับคนอายุ 45-65 ปี กลุ่มผู้สูงอายุก็แชร์ fake news มากกว่าถึง 2 เท่า
การศึกษาในลำดับต่อมาพยายามหาคำตอบว่า “ทำไม” จึงเป็นช่นนั้น โดยผู้วิจัยมี 2 ทฤษฎี 1. ผู้สูงอายุเริ่มต้นใช้งานสื่อออนไลน์ทีหลังทำให้ไม่รู้เท่าทันสกิลต่างๆในโลกดิจิทัล 2.ความสามารถหรือประสบการณ์ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้หลงเชื่อข่าวลวง
ที่ผ่านมามีความพยายามของเจ้าของเทคโนโลยีที่ป้องกันข่าวปลอม เช่น Whatsapp ทดลองโปรแกรมในอินเดียเพื่อช่วยหยุดการเผยแพร่ข่าวที่ไม่เป็นความจริง รวมทั้งการวิจัยในครั้งต่อๆ ไปก็จะพยายามศึกษาเรื่องความเชื่อมโยงของข่าวที่ถูกแชร์มากขึ้น