จะเป็นอย่างไรหาก Starbucks จะเป็นแบรนด์แรกๆ ของโลกที่เปิดตัวเมนูเครื่องดื่มผสมกัญชา คำถามนี้ถูกจุดขึ้นโดยบริษัทวิเคราะห์อย่าง Cowan ผ่านเอกสารความยาว 100 หน้าเกี่ยวกับการใช้สาร Cannabidiol หรือ CBD (หนึ่งในสารประกอบหลักที่ได้จากกัญชา) ในธุรกิจค้าปลีก โดยทาง Cowan คาดการณ์ว่า ตลาดดังกล่าวจะมีมูลค่าแตะ 16,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2025 และมีโอกาสที่เราจะเห็นกัญชา โดยเฉพาะกลุ่ม CBD ขยายตัวลงไปยังสินค้าหมวดต่างๆ ด้วย
ถึงแม้ว่า เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซีอีโอของ Starbucks อย่าง Kevin Johnson ได้ออกมาปฏิเสธอย่างชัดเจนผ่าน CNBC ว่า บริษัทไม่มีแผนจะใส่กัญชาลงในเมนูของ Starbucks ในเร็วๆ นี้แต่อย่างใด รวมถึงไม่มีกัญชาอยู่ในแผนโรดแมปของบริษัทด้วย
ขณะที่ Andrew Charles นักวิเคราะห์จาก Cowen ได้กล่าวถึงการปฏิเสธของ Starbucks ว่า ไม่ใช่ไม่มีโอกาสเสียทีเดียว
“การเปลี่ยนแปลงนี้มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นสูงมาก แม้ว่าในระยะสั้น เราอาจเห็นเชนกาแฟยักษ์ใหญ่อย่าง Starbucks ออกมาปฏิเสธการใช้กัญชาอยู่ก็ตาม” โดยสิ่งที่นักวิเคราะห์คนดังกล่าวพยายามชี้ว่ามีโอกาสก็คือ อาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อกฎหมาย ที่ระบุให้กัญชาเป็นสารปรุงแต่งอาหาร ซึ่งจะทำให้การใช้กัญชาสามารถเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายได้นั่นเอง
แต่การฝากความหวังไว้ที่การเปลี่ยนแปลงกฎหมายอาจไม่เพียงพอ เพราะส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า การใช้กัญชาเป็นส่วนผสมในอาหารหรือเครื่องดื่มยังมีอุปสรรคอีกหลายด่าน โดยอุปสรรคด่านแรกๆ อาจเป็นการทำความเข้าใจกับหน่วยงานภาครัฐ และฝ่ายกำกับดูแลกฎหมายว่าควรจะควบคุมปริมาณการใช้งานอย่างไรจึงจะเหมาะสม หรือหากเป็นแบรนด์ สิ่งที่ต้องคำนึงถึงยิ่งมากกว่า ยกตัวอย่างเช่น กรณีของ Starbucks ที่มีร้านสาขากระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งหากมีการนำกัญชามาเป็นส่วนผสมจริง ทางร้านจะสามารถเปิดตัวเครื่องดื่มผสมกัญชาได้ในระดับโลกหรือไม่ หรือเปิดได้แค่บางรัฐ – บางประเทศที่อนุญาต
หากสถานการณ์คือเปิดตัวเครื่องดื่มกัญชาได้แค่บางรัฐ งานยากก็จะตกอยู่ที่แบรนด์อีกเช่นกัน เพราะจะทำให้การโปรโมตเครื่องดื่มของ Starbucks มีความยุ่งยากมากขึ้นนั่นเอง
แต่สำหรับใครที่สนใจกาแฟผสมกัญชา รายงานจาก Forbes ระบุด้วยว่า ตอนนี้มีทางเลือกหนึ่งที่ผลิตออกมาแล้ว นั่นคือเมล็ดกาแฟผสม CBD จากค่าย Willie Nelson โดยในกาแฟหนึ่งแก้ว (ขนาด 8 ออนซ์) จะมีสาร CBD ผสมอยู่ราว 7 มิลลิกรัม หรือว่าเบียร์แบรนด์ Lagunitas ก็มีมาแล้ว (อ่านเพิ่มเติมคลิก)